ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมิถุนายน 2566

ข่าวในประเทศ

A person standing at a podium with a microphone

Description automatically generated with medium confidence

นายจุลพงษ์ ทวีศรี

อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม

 

1. รัฐคลอดเกณฑ์กำจัดขยะอุตฯ (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 7 มิถุนายน 2566)

นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้ปรับปรุงประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2566 หรือกากโรงงานอุตสาหกรรม โดยให้ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย หรือเป็นผู้รับผิดชอบมาใช้อย่างเต็มรูปแบบของโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากที่ผ่านมามีปัญหาผู้รับกำจัดกากโรงงานอุตสาหกรรม ไปกำจัดผิดวิธี เช่น  แอบไปทิ้งข้างทาง สร้างมลพิษให้กับผู้อยู่อาศัยละแวกนั้น ต่อไปโรงงานต้องมีส่วนรับผิดตั้งแต่ต้นทางที่เป็นผู้ก่อกำเนิดไปจนกว่าสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วจะได้รับการจัดการจนแล้วเสร็จ เพื่อให้ช่วยกันตรวจสอบผู้รับกำจัดกากอุตสาหกรรมด้วย จากเดิมความรับผิดชอบจะสิ้นสุด เมื่อโรงงานผู้รับกำจัดได้รับมอบกากอุตสาหกรรมแล้วเท่านั้นมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ส่วนการส่งรายงานประจำปีเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว และรายงานประจำเดือนเกี่ยวกับการจัดการวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ ผ่านระบบการรายงานข้อมูลกลางของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ ไอซิงเกอร์ ฟอร์ม ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันที่ 31 พฤษภาคม 2566 และมีผลนับถัดจากวันที่ประกาศ หากโรงงานอุตสาหกรรมใดฝ่าฝืนไม่รายงาน หรือรายงานล่าช้ามีโทษปรับสุงสุด 20,000 บาท สำหรับผู้ก่อกำเนิดของเสีย 60,638 โรงงานทั่วประเทศ เมื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ต้องรายงานประจำปีเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ทั้งที่เป็นของเสียอันตรายและไม่อันตราย ภายในวันที่ 1 เมษายน ของปีถัดไป สำหรับข้อมูลรอบปี 2565 กำหนดให้รายงานภายใน 30 วัน นับถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2566 โดยโรงงานที่ส่งรายงาน แบบ สก.3 รอบปี 2565 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องการกำจัดสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2548 แล้ว จะถือว่าได้ส่งรายงานประจำปี รอบปี 2565 ตามประกาศฉบับใหม่แล้วเรียบร้อย

 

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของผู้รับบำบัดกำจัดของเสีย คือ โรงงานลำดับที่ 101, 105 และ 106 จำนวน 2,500 โรงงานทั่วประเทศ จะต้องจัดส่งรายงานประจำเดือนเกี่ยวกับการจัดการวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป มีผลนับถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา จะรายงานข้อมูลครั้งแรกภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2566 กรอ. ได้จัดอบรมผ่านระบบออนไลน์ให้แก่โรงงาน ลำดับที่ 101, 105 และ 106 เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม - 1 มิถุนายน 2566 แล้ว รวม 1,020 ราย เรื่องกฎหมายการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้ว พ.ศ. 2566 เพื่อให้ผู้รับบำบัดกำจัดของเสีย ส่งรายงานเข้าสู่ระบบได้อย่างถูกต้อง

 

A person in a suit with his arms crossed

Description automatically generated with medium confidence

นายวีริศ อัมระปาล

ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)

 

2. กนอ. ร่วมมือรัฐ-เอกชน ลดก๊าซเรือนกระจกมุ่งความเป็นกลางคาร์บอน (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 8 มิถุนายน 2566)

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ.ประกาศเจตนารมณ์พร้อมทั้งกำหนดนโยบายในการลดก๊าซเรือนกระจก สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และท่าเรืออุตสาหกรรม ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกนอ.เร่งขับเคลื่อนพัฒนาประเทศไทยด้วยโมเดลเศรษฐกิจ BCG โดยมุ่งสร้างความสมดุลให้เศรษฐกิจสามารถเติบโตควบคู่กับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืน ส่งเสริมผู้ประกอบการทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ให้ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งในเขตนิคมอุตสาหกรรมและนอกเขตนิคมอุตสาหกรรม โดยวางนโยบายด้านการบริหารจัดการพลังงาน การลดต้นทุน และความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ควบคู่กับการพัฒนาศักยภาพของนิคมอุตสาหกรรม ให้ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในเรื่อง BCG ภายใต้การดำเนินโครงการเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ และ Smart I.E. เพื่อตอกย้ำเจตนารมณ์ กนอ.ได้เข้าร่วมประชุมกับองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา (วันที่ 18-21 พฤษภาคม 2566) ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง UNIDO กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กรมควบคุมมลพิษ (คพ.) กนอ. สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อสรุปความก้าวหน้าในการดำเนินงาน แลกเปลี่ยนความร่วมมือในอนาคตด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำเพื่อลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกการบริหารจัดการของเสีย และการพัฒนาระบบการผลิตพลังงานสะอาดแห่งอนาคต (Green hydrogen) สำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการลดก๊าซเรือนกระจก จำนวน 1.3 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และลดการใช้สารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน (Persistent Organic Pollutants: POPs) จำนวน 620 ตัน

 

อย่างไรก็ตาม กนอ. จะร่วมมือกับ UNIDO ในการประเมินศักยภาพและผลักดันให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพบุคลากร (Capacity Building) ด้านการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก และด้านเทคโนโลยี ภายใต้สถาบัน กนอ.

 

A person in a suit sitting at a table

Description automatically generated with medium confidence

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล

ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

 

3. ส.อ.ท. หารือเอกอัครราชทูตจีน ดันการค้า-ลงทุน 3 อุตฯอนาคต (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 9 มิถุนายน 2566)

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับ ฯพณฯ หาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ว่า ส.อ.ท. เป็นตัวแทนของภาคเอกชนไทย ใน 45 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักของประเทศ และเชื่อมต่อการค้าการลงทุนระหว่างไทยกับจีนตลอดมา ส่งผลให้การค้าระหว่างสองประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้   ส.อ.ท. ยังมีความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรจีนอีกหลายหน่วยงานปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมการผลิตของไทยมีความเข้มแข็งและได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศจีนได้เลือกให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในหลายๆ อุตสาหกรรม ซึ่งไทยมีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ ส่งผลให้ไทยเป็นพันธมิตรที่ดีในการสร้างความมั่นคงด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Security) ส.อ.ท. จึงเชิญชวนให้จีนพิจารณาให้ไทยเป็นฐานหลักในการผลิตเพื่อขยายตลาดไปยังประเทศต่างๆ ในอาเซียน โดยตอกย้ำความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมการผลิตของไทยในด้านต่างๆ อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV Automobile) ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า Top 5 ชั้นนำของจีนได้เข้ามาลงทุนตั้งฐานการผลิตในไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส.อ.ท. จึงเสนอให้ประเทศจีนใช้ประเทศไทยเป็นฮับ (Hub) ในการขยายตลาดในอาเซียนและทั่วโลก, อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ไทยมีความพร้อมทั้งด้านวัตถุดิบที่มีคุณภาพและศักยภาพการผลิตที่ทั่วโลกให้การยอมรับ อีกทั้งยังดำเนินการสอดคล้องกับนโยบายแนวคิดเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของรัฐบาลไทย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้มากขึ้น และอุตสาหกรรมการแพทย์ (Healthcare) เป็นอุตสาหกรรมที่สำคัญของทั่วโลก เนื่องจากสังคมกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) และเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมเป้าหมายที่จะเปลี่ยนผ่านสู่ อุตสาหกรรมแห่งอนาคต (Next - Generation Industry)

 

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ ส.อ.ท. ยังหารือแนวทางความร่วมมือระหว่างไทยกับจีน เพื่อขับเคลื่อนด้านต่างๆ ดังนี้ด้านการนำดิจิทัลมาปรับใช้ (Digital Transformation) จีนมีความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีดิจิทัล เครือข่าย 5G และการให้บริการทางดิจิทัล (Digital Services) ซึ่งจะช่วยสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ของไทยให้มีทักษะดิจิทัลมากขึ้น ด้านการขยายเส้นทางขนส่งโลจิสติกส์ระหว่างไทยกับจีน ส่งเสริมนโยบายข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง Belt and Road Initiative (BRI) หรือ One Belt, One Road รวมทั้งเส้นทางใหม่ๆ เช่น การขนส่งด้วยรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ด้านความยั่งยืน (Sustainability) ทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญในประเด็นด้านความยั่งยืน เพื่อช่วยกันแก้ปัญหาและลดภาวะโลกร้อน ซึ่งทาง ส.อ.ท. ให้ความสำคัญและส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมช่วยกันแก้ปัญหาด้าน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งการประชุมหารือครั้งนี้ จะช่วยขับเคลื่อนและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคอุตสาหกรรมไทย รวมถึงผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมไทยปรับตัวและยกระดับให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกอย่างยั่งยืนต่อไป

 

ข่าวต่างประเทศ

A picture containing flag, red, carmine, symbol

Description automatically generated

 

4. จีนเผย CPI เดือนพ.ค.เพิ่มเพียง 0.2%, PPI ร่วง 4.6% รุนแรงกว่าคาดการณ์ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 9 มิถุนายน 2566)

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สำคัญ ปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือนพฤษภาคม 2566 เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งขยับขึ้นเล็กน้อยจากเดือนเมษายน 2566 ที่ขยายตัว 0.1% แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของรอยเตอร์คาดว่าจะปรับตัวขึ้น 0.3% โดยรายงานระบุว่า หลังจากดัชนี CPI ตลอดปี 2565 ของจีนขยายตัว 2% รัฐบาลจีนได้กำหนดเป้าหมายการขยายตัวของดัชนี CPI ในปี 2566 ไว้ที่ 3% ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดต้นทุนสินค้าที่หน้าประตูโรงงาน ลดลง 4.6% ในเดือนพฤษภาคม 2566 เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากที่ปรับตัวลง 3.6% ในเดือนเมษายน 2566 นอกจากนี้ ดัชนี PPI เดือนพฤษภาคม 2566 ยังปรับตัวลงรุนแรงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลง 4.3%

อย่างไรก็ตาม การร่วงลงของดัชนี PPI สะท้อนให้เห็นว่าอุปสงค์ที่อ่อนแอลงได้ส่งผลกระทบต่อการผลิต และทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนเป็นไปอย่างเปราะบาง

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)