ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนธันวาคม 2566

ข่าวในประเทศ

A person sitting at a microphone

Description automatically generated

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. แก้ผังเมืองดึงลงทุนเปิดโซนโรงงานพัฒนาศก.ใต้ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 4 ธันวาคม 2566)

น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมหารือแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมพื้นที่ภาคใต้ว่าการประชุมหารือในครั้งนี้ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ รวมถึงภาคเอกชน และผู้ประกอบการ ได้เสนอให้กระทรวงอุตสาหกรรม ส่งเสริม สนับสนุน ในเรื่องผังเมืองสำหรับการก่อสร้าง ซึ่งในบางพื้นที่ไม่มีโซนที่สามารถก่อสร้างได้ จึงทำให้การก่อสร้างของโรงงานใหม่เป็นไปได้ยาก รวมทั้งเรื่องการขนส่งโลจิสติกส์ เช่น ถนนสี่เลนที่มีอยู่มีความจำเป็นต้องขยายออกไป จากอำเภอทุ่งสงมาอำเภอปากพนัง หากมีการขยายถนนจากสองเลนเป็น 4 เลนได้ จะทำให้การขนส่งจะดีขึ้นโดยไม่ต้องใช้เงินงบประมาณจำนวนมาก ขณะที่เรื่องการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึก จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่มีพื้นที่ติดทะเลประมาณ 250 กม. หากมีท่าเรือขนส่งเป็นศูนย์กระจายสินค้าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างมาก นอกจากนี้ผู้ประกอบการต้องการให้มีการส่งเสริม และสนับสนุนในด้านของพืชเศรษฐกิจ ซึ่งในพื้นที่ภาคใต้ มีพืชเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก ได้แก่ ยางพารา ปาล์ม และผลไม้ต่างๆ โดยอยากให้มีกระบวนการถ่ายทอดองค์ความรู้ในอุตสาหกรรมให้ผู้ประกอบการ SME ในภาคใต้ให้มีความรู้ และเพิ่มขีดความสามารถ การแข่งขันมากขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ (Southern Economic Corridor : SEC)" ซึ่งครอบคลุมพื้นที่จังหวัดระนอง ชุมพร นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี ที่กำหนดไว้ ได้แก่ 1. ด้านเกษตรและอาหาร เป็นการใช้เทคโนโลยีระดับสูง ไม่ใช่เกษตรและอาหารทั่วไป 2. ด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ ซึ่งมาจากฐานของน้ำมันปาล์ม และสารสกัดจากยางพารา และ 3. ด้านอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ

อย่างไรก็ตาม จากข้อมูล ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP ที่ผ่านมา มูลค่าจากสินค้าด้านการเกษตรคิดเป็นสัดส่วน 40% การบริการ 44% ซึ่ง GDP ในภาคอุตสาหกรรม มีมูลค่าน้อย อาจมาจากปัญหาด้านผังเมือง จึงทำให้โรงงานในการแปรรูปก่อตั้งไม่ได้ หลังจากนี้จะมีการประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาแก้ไขในประเด็นดังกล่าว ทั้งนี้ พื้นที่ภาคใต้มีการขอการส่งเสริมการลงทุนมากเป็นอันดับสอง รองจากพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งในการขอการส่งเสริมการลงทุนในปีหน้าเป็นต้นไป คาดว่าจะเริ่มมีการลงทุนเข้ามามากขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่วนหนึ่งเป็นนักลงทุนจากในพื้นที่และส่วนหนึ่งมาจากนักลงทุนจากภายนอกพื้นที่เข้ามา

 

A person sitting at a desk writing on papers

Description automatically generated

นายณัฐพล รังสิตพล

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

 

2. อุตฯ ดันเป้าปั้น EV Hub (ที่มา: สยามรัฐ, ประจำวันที่ 7 ธันวาคม 2566)

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรมได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าไปพร้อมกับการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์เครื่องยนต์สันดาป (ICE) โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ขับเคลื่อนนโยบายและมาตรการต่างๆ ผ่านคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติพร้อมให้ความสำคัญกับการวางรากฐานของการวิจัยและพัฒนายานยนต์และชิ้นส่วนในประเทศ รวมทั้งการกำหนดมาตรฐาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ดังนั้น หน่วยงานกำหนดมาตรฐาน และหน่วยงานทดสอบและรับรอง ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน ซึ่งการจัดตั้งศูนย์วิจัยเทคโนโลยียานยนต์จีนหรือ China Automotive Technology and Research Center (CATARC) สำนักงานสาขาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประจำประเทศไทย ถือเป็นจุดเริ่มต้นความร่วมมือในการนำศักยภาพด้านการพัฒนานโยบาย การกำหนดมาตรฐาน และการรับรองรวมทั้งเครือข่ายอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ของจีนมาเชื่อมโยงในการพัฒนาอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานยานยนต์ของประเทศไทย เพื่อรองรับการเป็นฐานการผลิตยานยนต์ของภูมิภาคอาเซียน และฐานการผลิตที่สำคัญของโลก โดยหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่รัฐบาลและกระทรวงอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการคือการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ของประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ ที่มุ่งเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันและลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศในเวทีการประชุมสุดยอดด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยได้สนับสนุนมาตรการส่งเสริมการใช้และการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ โดยเฉพาะมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าประเภทรถยนต์ และรถจักรยานยนต์ หรือมาตรการ EV3 ซึ่งมีผู้ประกอบการเข้าร่วม 10 แบรนด์ มียอดจองรถยนต์ BEV ไปแล้วกว่า 50,000 คัน อีกทั้งได้ส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งการกำหนดมาตรฐานสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้วกว่า 150 มาตรฐาน

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ ยังมีการให้บริการทดสอบและรับรองมาตรฐานของศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (ATTRIC) รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรและเตรียมความพร้อมในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า และยานยนต์สมัยใหม่ ส่งผลให้ในไตรมาสแรกของปี 2566 ประเทศไทยมีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า คิดเป็นร้อยละ 78 ของปริมาณการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในอาเซียน และในปี 2565 ประเทศไทยมีการผลิตยานยนต์ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า หรือ xEV เป็นอันดับ 1 ของอาเซียนประมาณ 72,000 คัน แสดงให้เห็นถึงกระแสการตอบรับของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ และความพร้อมที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่ยานยนต์สมัยใหม่ ทั้งนี้ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ระดับแนวหน้าของประเทศจีนหลายค่ายได้เข้ามาลงทุนในประเทศไทยแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่สามารถแข่งขันได้ในอาเซียนและเวทีโลก

 

นายวีริศ อัมระปาล

ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)

 

3. ยกระดับ 'เมืองอุตฯ เชิงนิเวศ' (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 6 ธันวาคม 2566)

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. ได้เดินหน้าพัฒนาและยกระดับนิคมอุตสาหกรรมสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เพื่อสร้างสมดุลกันและกันของภาคอุตสาหกรรม ชุมชน และสิ่งแวดล้อม ตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืน ภายใต้กรอบ 5 มิติ คือ มิติกายภาพ มิติเศรษฐกิจ มิติสิ่งแวดล้อม มิติสังคม และมิติการบริหารจัดการ โดยส่งเสริมให้เกิดการบริหารจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการยกระดับนิคมอุตสาหกรรม โดยในปีงบประมาณ 2566 กนอ. ได้พัฒนาและยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ จากระดับ Eco-Champion 39 แห่ง ยกระดับขึ้นเป็นระดับ Eco-Excellence 22 แห่ง และระดับ Eco-World Class 7 แห่ง เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ กนอ. มีเป้าหมายขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ตามนโยบายเศรษฐกิจบีซีจี โมเดล ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นหัวใจของยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน สำหรับปี 2567 กนอ. ยังคงใช้หลักเกณฑ์การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเดิม แต่จะปรับปรุงให้สอดคล้องตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) 13 ข้อ ขณะเดียวกันยังผลักดันสิทธิประโยชน์สำหรับผู้พัฒนา นิคมฯ และผู้ประกอบการ ทั้งการลดหย่อน ยกเว้น ค่าบริการอนุญาตในระบบ e-PP จะช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของ กนอ.ในอนาคตต่อไป

อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 2567 กนอ. มีแผนงานยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในนิคมอุตสาหกรรม ดังนี้ ระดับ Eco Champion ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิว เอช เอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 4, ระดับ Eco Excellence ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมบางปู นิคมอุตสาหกรรมราชบุรี, ระดับ Eco World Class ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมดับบลิว เอช เอ ตะวันออก (มาบตาพุด), นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ซิตี้

 

ข่าวต่างประเทศ

A red circle on a white background

Description automatically generated

 

4. ญี่ปุ่นลดประมาณการ GDP ใน Q3/66 เป็นหดตัว 2.9% เหตุส่งออก-บริโภคชะลอตัว (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 8 ธันวาคม 2566)

รัฐบาลญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำ    ไตรมาส 3/2566 หดตัวลง 2.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งย่ำแย่กว่าการประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าหดตัว 2.1% เนื่องจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นได้รับผลกระทบจากการอุปโภคบริโภคที่อ่อนแอเกินคาด และการชะลอตัวของการส่งออก ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่า ตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ของญี่ปุ่นอาจหดตัวลง 2.0% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นยังระบุด้วยว่า เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ตัวเลข GDP ไตรมาส 3 หดตัวลง 0.7% เมื่อเทียบกับการประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าหดตัว 0.5% และเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอาจจะหดตัว 0.5%

อย่างไรก็ตาม สำหรับการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของตัวเลข GDP นั้น ปรับตัวลง 0.2% ในไตรมาส 3 ซึ่งย่ำแย่กว่าการประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าลดลงเพียง 0.04% เนื่องจากการพุ่งขึ้นของราคาสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันทำให้ผู้บริโภคปรับลดการใช้จ่าย ส่วนการใช้จ่ายด้านทุน ซึ่งเป็นมาตรวัดอุปสงค์ภายในประเทศ ปรับตัวลง 0.4% ซึ่งดีกว่าการประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าลดลง 0.6% ขณะที่การส่งออกในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งน้อยกว่าการประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าเพิ่มขึ้น 0.5% และการนำเข้าเพิ่มขึ้น 0.8% ซึ่งน้อยกว่า การประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าปรับตัวขึ้น 1.0%

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)