ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนเมษายน 2567

ข่าวในประเทศ

A person sitting at a microphone

Description automatically generated

น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. “พิมพ์ภัทรา” กางแผนขนย้ายแคดเมียม ดำเนินคดีผู้ครอบครอง (ที่มา: โพสต์ทูเดย์, ประจำวันที่ 17 เมษายน 2567)

นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า วันนี้ คณะกรรมการอำนวยการขนย้ายกากแคดเมียม และสังกะสี ได้ชี้แจงรายละเอียดแผนการขนย้ายกากแดคเมียมของ บมจ.เบาว์แอนด์บียอนด์ ให้กับสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั้ง 3 พื้นที่ ได้แก่ จังหวัดตาก สมุทรสาคร และชลบุรี ทราบเพื่อเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการชี้แจงประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้เข้าใจไปในทิศทางเดียวกัน เบื้องต้น ทราบจากสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดว่า ผู้ประกอบการที่ครอบครองกากแดคเมียมทุกรายยินยอมที่จะให้นำกากที่ถูกอายัดไว้ กลับไปฝังกลบที่จังหวัดตาก นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือประเด็นการตรวจสอบกองกากแคดเมียมก่อนที่จะนำขึ้นรถขนส่ง การจัดทำแผนฉุกเฉินของ บมจ.เบาว์แอนด์บียอนด์ หากเกิดอุบัติเหตุระหว่างการขนส่ง และการทบทวนคำสั่งทางปกครองของกรมโรงงานอุตสาหกรรม และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดที่ต้องสอดคล้องกับแผนการขนย้ายกาก ซึ่งในวันนี้สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร จะไปร้องทุกข์กล่าวโทษการกระทำผิดของผู้ครอบครองกากแคดเมียมทั้งหมด กับ บก.ปทส. พร้อมประเมินปริมาณของกลางก่อนที่จะโอนให้ บก.ปทส.ต่อไป และในวันเดียวกัน กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปร่วมตรวจสอบความแข็งแรงของหลุมฝังกลบของบริษัทฯ ที่จังหวัดตาก คาดว่าจะรู้ผลในวันเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม สำหรับความเห็นของประชาชนในพื้นที่ต้นทางเคลื่อนย้ายกาก คือ จังหวัดสมุทรสาคร ชลบุรี และกรุงเทพมหานคร อยากให้การขนย้ายขึ้นรถบรรทุกไม่เกิดการรั่วไหล หรือการฟุ้งกระจายของกากแคดเมียม ส่วนประชาชนในพื้นที่ปลายทางที่จังหวัดตาก โดยเฉพาะในพื้นที่หมู่ 6 ตำบลหนองบัวใต้ อยากให้ตรวจสอบความแข็งแรงของหลุมฝังกลบ การเคลื่อนย้ายกากลงหลุมฝังกลบต้องปลอดภัย ไม่ฟุ้งกระจายและหลังจากฝังกลบแล้วไม่เกิดการรั่วไหลออกสู่สิ่งแวดล้อม และไม่กระทบต่อสุขภาพของประชาชน ทั้งนี้ ทุกประเด็นข้อกังวล ทางคณะทำงานแก้ปัญหา และการขนย้ายกากตะกอนแคดเมียม ซึ่งประกอบด้วย 6 กระทรวง จะประชุมหารือ พิจารณาแผนงาน และมาตรการขนย้ายกากแคดเมียม

 

A person sitting at a table

Description automatically generated

น.ส.บุปผา เรืองสุด

อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน

 

2. เพิ่มศักยภาพรับศก.ฟื้น (ที่มา: สยามรัฐ, ประจำวันที่ 19 เมษายน 2567)

น.ส.บุปผา เรืองสุด อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เปิดเผยว่า จากข้อมูลของสภาพัฒน์ ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวจากภาคส่งออกการอุปโภคบริโภคและท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง รวมถึงสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้เปิดเผยข้อมูลสถานการณ์ และแนวโน้มอุตสาหกรรม ปี 2567 และสภาอุตสาหกรรมภาค 5 ภาค เพื่อนำเสนอมุมมองแนวโน้มอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในปีนี้จาก 46 กลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่คาดว่า จะขยายตัวดีขึ้น อาทิ กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องปรับอากาศและเครื่องทำความเย็น กลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วน และอะไหล่ยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัล กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ โดยจากข้อมูลดังกล่าวกรมพัฒนาฝีมือแรงงานในฐานะหน่วยงานที่ต้องพัฒนาศักยภาพแรงงานให้มีผลิตภาพสูง รองรับความต้องการของตลาดแรงงาน จึงร่วมกับหลายหน่วยงานเพื่อวางแผนในการพัฒนากำลังแรงงานของประเทศ ซึ่งครั้งนี้ ได้ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เตรียมความพร้อมทั้งหลักสูตรการฝึกเพื่อพัฒนาทักษะแรงงานของไทยให้ทันต่อเทคโนโลยีที่ทันสมัย และนวัตกรรมใหม่ เพื่อรองรับการเจริญเติบโตด้านอุตสาหกรรมของประเทศ ซึ่งตรงกับนโยบาย Up-Skill for More Earn เพื่อการมีงานทำรองรับเศรษฐกิจใหม่ของนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ร่วมกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เตรียมแผนในการ UpSkill และ Re-Skill ให้แก่แรงงานในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมด้านยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์และหุ่นยนต์ ดิจิทัลและการวิเคราะห์ข้อมูล นอกจากนี้มีการร่วมกันกำหนดหลักสูตรของกรมพัฒนาฝีมือแรงงานมาใช้ในการฝึกอบรม ซึ่งจะนำร่องใน 14 นิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ นิคมอุตสาหกรรมพิจิตร นิคมอุตสาหกรรมแก่งคอย นิคมอุตสาหกรรมนครหลวง นิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร นิคมอุตสาหกรรมบางขัน นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง นิคมอุตสาหกรรมบางปู นิคมอุตสาหกรรมบางพลี นิคมอุตสาห กรรมแหลมฉบัง นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ นิคมอุตสาหกรรมสงขลา และนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว

 

A person in a suit and tie

Description automatically generated

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

 

3. BOI ฟุ้งผลงานดึงทุนจีน เผย 2 บริษัท ตั้งรง.แบตอีวี 3 หมื่นล. (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 18 เมษายน 2567)

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า จากการนำคณะเดินทางไปพบกับผู้บริหารของบริษัทผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำระดับโลกจากจีน 7 ราย ได้แก่ CATL, CALB, IBT, Eve Energy, Gotion High-tech, Sunwoda และ SVOLT Energy Technology ระหว่างวันที่ 7-10 เมษายน 2567 ณ มณฑลฝูเจี้ยน และมณฑลกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน พบว่า ทุกบริษัทมองเห็นโอกาสทางธุรกิจในไทย และให้ความสนใจอย่างมากต่อ "มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและระบบกักเก็บพลังงาน" ที่บีโอไอเพิ่งออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ เพื่อดึงให้ผู้ผลิตระดับโลกเข้ามาตั้งฐานผลิตเซลล์แบตเตอรี่ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำที่ใช้เทคโนโลยีและองค์ความรู้ด้านเคมีและวัสดุศาสตร์ขั้นสูง ใช้เงินลงทุนสูง และเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งผู้ผลิตแบตเตอรี่ทั้ง 7 ราย มองว่าประเทศไทยมีจุดแข็งหลายด้าน โดยเฉพาะการที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าที่ชัดเจนและต่อเนื่อง จะทำให้มีความต้องการใช้เซลล์แบตเตอรี่จำนวนมากในอนาคต จะเห็นได้จากตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดทั้งรถยนต์ BEV, PHEV และ HEV อีกทั้งภาครัฐมีมาตรการสนับสนุนครอบคลุมยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์นั่งรถกระบะ ไปจนถึงรถบัส รถบรรทุก และเรือไฟฟ้า จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่เป็นส่วนประกอบ

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการใช้แบตเตอรี่สำหรับระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) เพิ่มสูงขึ้นมากในอนาคต ประกอบกับประเทศไทยมีความพร้อมทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน พื้นที่รองรับการลงทุน บุคลากร และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ ผู้ผลิตแบตเตอรี่จึงมองเห็นโอกาสที่จะเข้ามาผลิตเซลล์แบตเตอรี่ในประเทศไทย และบางรายจะผลิตต่อเนื่องไปถึงขั้นปลาย คือ โมดูลและแพ็ก ภายในปีนี้ คาดว่าผู้ผลิตรายใหญ่อย่างน้อย 2 ราย จะมีความชัดเจนในการเข้ามาลงทุนผลิตแบตเตอรี่ระดับเซลล์ในไทย โดยแต่ละรายจะมีขนาดกำลังการผลิตในเฟสแรกประมาณ 6-10 GWh มูลค่าเงินลงทุนเฟสแรกรวมกันกว่า 30,000 ล้านบาท สำหรับรายอื่นๆ บางส่วนกำลังเจรจาธุรกิจกับผู้ร่วมทุนฝั่งไทย และบางรายอยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม เนื่องจากเดิมวางแผนลงทุนผลิตเฉพาะโมดูลและแพ็ก แต่เมื่อทราบว่าประเทศไทยออกมาตรการพิเศษเพื่อส่งเสริมการผลิตเซลล์ จึงให้ความสนใจและจะพิจารณาแผนการลงทุนใหม่ ซึ่งบีโอไอจะติดตามอย่างใกล้ชิด

 

ข่าวต่างประเทศ

A blue and white logo

Description automatically generated

 

4. IMF เพิ่มคาดการณ์การเติบโต GDP โลกปี 67 เป็น 3.2% (ที่มา: สำนักกรุงเทพธุรกิจ, ประจำวันที่ 17 เมษายน 2567)

นายปิแอร์-โอลิวิเยร์ กูแรงชาส์ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟและผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย กล่าวในการแถลงข่าวระหว่างการประชุมฤดูใบไม้ผลิประจำปี 2567 ของไอเอ็มเอฟ และธนาคารโลกว่า แม้จะมีการคาดการณ์ที่เลวร้าย เศรษฐกิจโลกก็ยังคงมีความเข้มแข็งอย่างน่าทึ่ง โดยมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงเร็วเกือบเท่ากับที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแม้จะมีแผลเป็นทางเศรษฐกิจน้อยลงจากวิกฤตต่างๆ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แต่ไอเอ็มเอฟประเมินว่า ประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่ำจะมีแผลเป็นมากขึ้น โดยหลายประเทศในกลุ่มนี้ยังคงดิ้นรนเพื่อฟื้นตัวจากโควิด-19 และวิกฤตค่าครองชีพ ทั้งนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2567 เป็น 3.2% เพิ่มจากระดับ 3.1% ที่คาดการณ์ไว้ในเดือนมกราคม 2567 ตามรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (WEO) ฉบับล่าสุดที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (16 เมษายน 2567)

อย่างไรก็ตาม ทางด้านสำนักข่าวซินหัวระบุว่า รายงาน WEO แสดงให้เห็นว่าประมาณการล่าสุดสำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในอีก 5 ปีข้างหน้าที่ 3.1% นั้น ถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบหลายทศวรรษ โดยไอเอ็มเอฟ ประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปทั่วโลกคาดว่าจะลดลงจากค่าเฉลี่ยทั้งปีที่ 6.8% ในปี 2566 เป็น 5.9% ในปี 2567 และ 4.5% ในปี 2568 โดยประเทศเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วจะกลับสู่เป้าหมายเงินเฟ้อได้เร็วกว่าประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)