ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนสิงหาคม 2567

ข่าวในประเทศ

A person sitting at a desk writing on papers

Description automatically generated

นายณัฐพล รังสิตพล

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. ก.อุตฯ เร่งตัดวงจรสารเคมีรั่วไหล ลุ้น กก.สิ่งแวดล้อมเคาะแผนด่วน (ที่มา: ไทยโพสต์, ประจำวันที่ 13 สิงหาคม 2567)

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังการประชุมติดตามความคืบหน้าการป้องกันและแก้ไขปัญหาสารเคมีรั่วไหล ครั้งที่ 6 ว่า ได้เร่งแก้ปัญหาการลักลอบทิ้งกากของเสียและสารอันตรายในจังหวัดระยอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเพชรบูรณ์ คืบหน้า ดังนี้ 1. ใช้งบ 4 ล้านบาท ที่ได้รับจากศาลจังหวัดระยอง กำจัดตะกรันอะลูมิเนียมทั้งหมดในพื้นที่บริษัท วิน โพรเสส จำกัด อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง 2. จัดทำคันดินป้องกันรั่วซึมและ ทำสัญญาจ้างบริษัทผู้รับกำจัดกำจัดกากของเสียและสารอันตรายเร่งด่วน งบ 6.9 ล้านบาท ในพื้นที่โกดังเก็บของเสียและวัตถุอันตราย อำเภอภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และงบ 4 ล้านบาท ในพื้นที่บริษัท เอกอุทัย จำกัด อำเภอสาขาอุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามลำดับ 3. ป้องกันการชะล้างสารเคมี หรือกากอุตสาหกรรมปนเป้อนนอกพื้นที่ช่วงฤดูฝน 4. เยียวยาประชาชนจากบริษัท เอกอุทัย จำกัด สาขาศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ และ 5. ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินคดีและลงโทษผู้กระทำความผิดให้ถึงที่สุด

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ กระทรวงยังร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดทำแผนการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาสารเคมีรั่วไหลกรณีเร่งด่วน 6 พื้นที่ ได้แก่ บริษัท วินโพรเสส จำกัด อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง โกดังเก็บของเสียและวัตถุอันตราย อำเภอภาชี บริษัท เอกอุทัย จำกัด (สาขาอุทัย) บริษัท ซันเทค เคมิคอล แอนด์ โลจิสติกส์ จำกัด อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และพื้นที่ลักลอบทิ้งกากของเสียและสารอันตรายในจังหวัดฉะเชิงเทราอีก 2 พื้นที่ เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมมลพิษ และที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนการดำเนินงานและกรอบวงเงินงบประมาณพื้นฟูตามที่เสนอ เสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาเดือนสิงหาคมนี้

 

A person with her arms crossed

Description automatically generated

นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร

 

2. ชูเป้าส่งออกอาหารแตะ 1.65 ล้านล. (ที่มา: ข่าวสด, ประจำวันที่ 16 สิงหาคม 2567)

นางศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยว่า ศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร สถาบันอาหาร ภายใต้ความร่วมมือกับสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พบว่าการส่งออกสินค้าอาหารไทยในช่วง 6 เดือนแรกปี 2567 แตะระดับ 852,423 ล้านบาท ขยายตัว 9.9% จากความต้องการสินค้าอาหารไทยในตลาดโลกที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ต้นทุนวัตถุดิบหลักในการแปรรูปหลายรายการอ่อนตัวลง ราคาปลาทูน่าลดลงส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมปลาทูน่าแปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยง กลุ่มผู้ผลิตซอสได้รับต้นทุนน้ำตาลและถั่วเหลืองราคาถูกลง ราคากากถั่วเหลืองและข้าวโพดลดลงเอื้อต่อผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุตสาหกรรมไก่ การลดลงของราคาข้าวสาลีในตลาดโลกช่วยลดต้นทุนการผลิตผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ ขนมปังกรอบ รวมทั้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มการส่งออกอาหารไทยในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่าจะมีมูลค่า 797,568 ล้านบาท ขยายตัว 7.8% เป็นการส่งออกไตรมาส 3 มูลค่า 395,536 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.6% และไตรมาส 4 มูลค่า 402,032 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.9% โดยภาพรวมปี 2567 คาดว่าการส่งออกอาหารไทยจะมีมูลค่า 1.65 ล้านล้านบาท ขยายตัว 8.8% เนื่องจากคู่ค้ากังวลเรื่องความมั่นคงทางอาหาร

 

A person in a suit and tie

Description automatically generated

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

 

3. ย้ำ 5 มาตรการช่วยยานยนต์ (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 14 สิงหาคม 2567)

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยถึงกรณีมีการตั้งคำถามต่อมาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ว่าส่งผลกระทบต่อการเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ของประเทศไทยว่า บีโอไอในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) ขอชี้แจงว่า เป้าหมายสำคัญของรัฐบาล คือ การขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและการส่งออกรถยนต์ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์สันดาป  รถไฮบริด หรือเอชอีวี รถปลั๊กอินไฮบริด หรือพีเอชอีวี และรถไฟฟ้า หรือบีอีวี รวมทั้งชิ้นส่วนยานยนต์แบบครบวงจร เห็นได้จากเป้าหมาย 30@30 เห็นได้ว่า 70% ที่เหลือยังคงเป็นการผลิตรถยนต์สันดาปภายใน แต่ต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีที่มุ่งสู่ความสะอาด ประหยัดพลังงาน ปลอดภัย และการขับเคลื่อนอัจฉริยะ

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้นายกรัฐมนตรีได้เน้นถึงความสำคัญของผู้ผลิตรถยนต์สันดาปภายในที่มีต่อเศรษฐกิจไทย และพร้อมสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่การผลิตยานยนต์สมัยใหม่ โดยมี 5 มาตรการ เพื่อช่วยผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน ทั้งมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมยานยนต์ สนับสนุนให้ผู้ผลิตรถยนต์มีการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อนำระบบอัตโนมัติหรือหุ่นยนต์ มาใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตสำหรับการผลิตรถยนต์ มีค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกายื่นขอรับการส่งเสริมแล้ว 4 โครงการ, มาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ ส่งเสริมให้ผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศปรับเปลี่ยนเครื่อจักร ฝึกอบรมบุคลากร หรือนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ หรือยกระดับมาตรฐาน เพื่อให้แข่งขันได้ หรือขยายธุรกิจไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ

 

ข่าวต่างประเทศ

A red circle on a white cloth

Description automatically generated

 

4. GDP ญี่ปุ่นโตเกินคาดใน Q2 อานิสงส์ค่าจ้างสูงช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภาคเอกชน (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 15 สิงหาคม 2567)

สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2567 ของญี่ปุ่น ขยายตัวแข็งแกร่งเกินคาด เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาสและเทียบเป็นรายปี เนื่องจากค่าจ้างที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคเอกชนทั่วประเทศ ทั้งนี้ GDP ไตรมาส 2 ของญี่ปุ่นขยายตัว 0.8% เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ซึ่งแข็งแกร่งกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่าอาจขยายตัว 0.5% และส่งสัญญาณถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ หลังจากที่ตัวเลข GDP หดตัวลง 0.6% ในไตรมาส 1 เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ส่วนเมื่อเทียบเป็นรายปี ตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ขยายตัว 3.1% แข็งแกร่งกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าอาจขยายตัวเพียง 2.1% และบ่งชี้ถึงการฟื้นตัวหลังจากที่ GDP หดตัวลง 2.3% ในไตรมาส 1 เมื่อเทียบเป็นรายปี โดยข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) คาดการณ์ไว้ว่าการใช้จ่ายของภาคเอกชนจะช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจญี่ปุ่นในช่วงหลายไตรมาสข้างหน้า และอาจเปิดทางให้ BOJ สามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อีก

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมา BOJ ได้สร้างความประหลาดใจให้กับตลาดด้วยการประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.25% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี จากเดิมที่ระดับ 0%-0.1% และประกาศแผนลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งถือเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินครั้งใหญ่ หลังจากที่ใช้นโยบายผ่อนคลายการเงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นเวลานานถึง 10 ปี

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)