ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมกราคม 2568

ข่าวในประเทศ

A person smiling at a microphone

Description automatically generated

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. 'เอกนัฏ' ถกซาอุฯ พลิกโฉมอุตสาหกรรมแร่ (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 17 มกราคม 2568)

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเข้าร่วมเสวนาโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีในงาน Future Minerals Forum 2025 (FMF 2025) เพื่อร่วมกำหนดทิศทางอุตสาหกรรมแร่พลังงานสะอาด พร้อมด้วยรัฐมนตรีและผู้แทนรัฐบาลจากประเทศต่างๆ กว่า 86 ประเทศ ที่กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย ระหว่างวันที่ 14-16 มกราคมที่ผ่านมา ว่า การจัดประชุมโต๊ะกลม FMF 2025 มีวัตถุประสงค์เพื่อหารือถึงทิศทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมแร่และโลหะเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด ขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำและการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด มีความจำเป็นต้องใช้แร่เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน รถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ โดยผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าความต้องการใช้แร่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก (Critical minerals) มีแนวโน้มเพิ่มสูงอย่างน้อย 2 เท่า ในปี 2573 (ค.ศ.2030) ขณะที่ประเทศไทยมีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาค และการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดเช่นกัน ไทยจึงมีบทบาทในฐานะผู้ใช้ผลิตภัณฑ์จากแร่ จัดหาแร่ที่ผลิตอย่างรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม รวมถึงสร้างกลไกรองรับการหมุนเวียนวัสดุกลับมาใช้ใหม่ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยสิ่งที่ประเทศไทยสนับสนุนและยืนยันมาตลอดคือการนำทรัพยากรแร่มาใช้ประโยชน์ โดยคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ชุมชนในพื้นที่และการสนับสนุนการพัฒนายั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กล่าวว่า การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรีเรื่องแร่แห่งอนาคต หรือ Future Minerals Forum 2025 ครั้งที่ 4 ซาอุดีอาระเบียเป็นเจ้าภาพ มีรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลจากกว่า 86 ประเทศทั่วโลก อาทิ บราซิล แอฟริกาใต้ คองโก อินเดีย อียิปต์ อิตาลี ไนจีเรีย กาตาร์ ปากีสถาน คาซัคสถาน อุซเบกิสถาน มาเลเซีย ไทย โมร็อกโก อินโดนีเซีย ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร เข้าร่วม มีการหารือ 3 ด้าน ได้แก่ 1. การพัฒนาแนวทางการทำเหมืองแร่อย่างยั่งยืนของภูมิภาค 2. การสร้างเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence) รองรับการดำเนินงานเชิง กลยุทธ์ด้านแร่ และ 3. การสร้างกรอบการพัฒนาด้านแร่กลุ่ม Critical minerals และพัฒนาโซ่มูลค่าในพหุภูมิภาค เพื่อร่วมกำหนดแนวทางดำเนินความร่วมมือที่เป็นรูปธรรม ช่วยให้การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดเกิดขึ้นตามเป้าหมาย

 

A person sitting at a desk writing on papers

Description automatically generated

นายณัฐพล รังสิตพล

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

 

2. 'ดีพร้อม' ผนึกกำลัง 'ส.อ.ท.' ยกระดับศักยภาพเอสเอ็มอีสู่อุตฯ 5.0 (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 14 มกราคม 2568)

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งมั่นที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจยุคใหม่ให้เติมเต็มห่วงโซ่อุตสาหกรรมในปัจจุบัน และมีระบบการผลิตที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืนเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้มีความเข้มแข็ง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นภารกิจที่ตั้งใจเดินหน้าโดยเร็วที่สุด เพื่อให้ไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยนางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) กล่าวว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมทั่วโลกย่อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมสู่อนาคต ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างประสิทธิภาพสูงสุดในการผลิต และบริการ รวมถึงสามารถพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในยุคดิจิทัล เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการ "ผลัดใบเศรษฐกิจ" ในศตวรรษที่ 21 ให้กับไทย รวมทั้งมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกภาคส่วน ทั้งนี้ ดีพร้อมและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จึงจัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรม นับเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญในการยกระดับศักยภาพของภาค อุตสาหกรรมไทยให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน และเกิดความเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ด้วยการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาคการผลิต ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลนำไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 และ 5.0 ทั้งการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญทั้งด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ด้านการพัฒนาต่อยอดกระบวนการผลิต และด้านผลิตภัณฑ์ในการยกระดับศักยภาพและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันสู่ระดับสากล โดยคาดว่าจะสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญต่อการพัฒนาความร่วมมือและการประสานงานที่มีประสิทธิภาพระหว่างหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนเพื่อร่วมกันพัฒนางาน แก้ไขปัญหาต่างๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและการเสริมสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดียิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ความร่วมมือกับดีพร้อมในครั้งนี้จะเป็นส่วนสำคัญในการเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยในด้านเทคโนโลยีการผลิต โดยดีพร้อมและ ส.อ.ท.จะเข้าไปให้การส่งเสริม สนับสนุนผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมและเครือข่ายภาคอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพและความสามารถทางการแข่งขัน การพัฒนาด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลนำไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 หรืออุตสาหกรรม 5.0 สำหรับการปรับตัวไปสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และ 5.0 เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยให้เหนือกว่าประเทศคู่แข่ง เนื่องจากจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการผลิต รวมทั้งยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในด้าน ESG หรือการผลิตที่ยั่งยืน ไม่ส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดทั่วโลกให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งนี้จะทำให้สินค้าไทยก้าวข้ามกำแพงการกีดกันด้านสิ่งแวดล้อมได้เหนือกว่าประเทศอื่น

 

A person sitting at a desk

Description automatically generated

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา

อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม

 

3. 'ดีพร้อม' กางนโยบายปี 68 สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 5 หมื่นล้าน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 15 มกราคม 2568)

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม เปิดเผยทิศทางการขับเคลื่อนนโยบายในปี 2568 ว่าดีพร้อมได้ปฏิรูปการดำเนินงานโดยมองภาพการพัฒนาให้กว้างขึ้นตอบสนองประเด็นปัญหาเชิงมหภาคของภาคอุตสาหกรรมทั้งแนวโน้มและทิศทางของเศรษฐกิจโลกกับการปรับโครงสร้างของอุตสาหกรรมเดิมเพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ การดึงดูดการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีศักยภาพ รวมถึงภารกิจการช่วยเหลือให้วิสาหกิจไทยปรับตัวสู่โลกยุคใหม่ให้อยู่รอด เดินต่อ และเติบโตสู่สากลพร้อมยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียวในการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคม และรักษาสิ่งแวดล้อมเน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างคุ้มค่า เพิ่มผลิตภาพและสร้างมูลค่าเพิ่ม พร้อมช่วยเหลือส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของไทย (SMEs)ในการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทย ทั้งนี้ ดีพร้อมจะดำเนินการภายใต้กลยุทธ์ 4 ให้ และ 1 ปฏิรูป ดังนี้ 1. ให้ทักษะใหม่ 2. ให้เครื่องมือที่ทันสมัย 3. ให้โอกาสโตไกลช่วยเหลือให้แข่งขันได้ทั้งในประเทศและระดับสากล และ 4. ให้ธุรกิจไทยที่ดีคู่ชุมชนในส่วนปฏิรูป ดีพร้อมมุ่งพัฒนาองค์กรให้ดีพร้อมเพื่อเตรียมรับมือกับบริบทและกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ภายใต้ความ ท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ที่มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้นสอดรับกับเรื่อง "การปรับตัวของภาครัฐ" โดยปี 2568 ดีพร้อมมีแนวคิดในการปฏิรูปองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรแห่งการเปลี่ยนแปลงควบคู่ไปพร้อมกับการพัฒนาบุคลากรของดีพร้อม โดยนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับยุคสมัยเข้ามาปรับใช้ ยกระดับระบบการให้บริการให้ก้าวทันยุคของการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม ในปีงบประมาณ 2569 ดีพร้อมได้ตั้งคำของบประมาณไว้ในวงเงิน 5,000 ล้านบาท คาดว่า จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 50,000 ล้านบาท ซึ่งนโยบายทั้งหมดนี้เป็นรากฐานสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืนและมั่นใจได้ว่าการกระตุ้น GDP เพิ่มอีก 1% นั้นทำได้แน่นอน

 

ข่าวต่างประเทศ

 

4. เศรษฐกิจอังกฤษกลับมาขยายตัวได้ 0.1% ในเดือนพ.ย. แต่ยังน่าผิดหวัง (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 17 มกราคม 2568)

สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจอังกฤษเริ่มกลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในเดือนพฤศจิกายน 2567 แต่ยังคงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ในขณะที่รัฐบาลกำลังพยายามขจัดความกังวลว่าประเทศกำลังประสบปัญหาเงินเฟ้อสูงท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว (Stagflation) โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือนพฤศจิกายน หลังจากที่หดตัวลง 0.1% ทั้งในเดือนกันยายน และตุลาคม ซึ่งตัวเลขเดือนพฤศจิกายน ต่ำกว่าคาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.2% นั่นหมายความว่า เศรษฐกิจยังคงซบเซากว่าในช่วงเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นเดือนก่อนที่พรรคแรงงานจะเข้ามาบริหารประเทศ ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวยิ่งตอกย้ำความกังวลว่า เศรษฐกิจอังกฤษยังคงเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อสูงควบคู่กับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โดยเศรษฐกิจอังกฤษขยายตัวขึ้นเพียง 2 ครั้งในรอบ 5 เดือน นับตั้งแต่ที่พรรคแรงงานขึ้นเป็นรัฐบาล ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลง 0.2% มาอยู่ที่ 1.2214 ดอลลาร์ หลังการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ONS ระบุว่า เศรษฐกิจจะหยุดนิ่งเป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน เว้นเสียแต่ว่า GDP จะเติบโตอย่างน้อย 0.07% ในเดือนธันวาคม 2567 ซึ่งดูเป็นไปได้ยาก โดยเมื่อเดือนที่แล้ว ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตในไตรมาส 4/2567 ลงเหลือ 0%

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)