ข่าวในประเทศ
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. สกัดสินค้าออนไลน์ไร้มาตรฐาน-เพิ่ม 7 ร้านมอก. (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 16 พฤษภาคม 2568)
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคจากสินค้าไร้มาตรฐาน ได้มอบหมายให้นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เข้า ตรวจสอบโรงงานในพื้นที่แขวงบางบอน เขตบางบอน กรุงเทพฯ โดยจากการตรวจสอบพบการผลิตรองเท้าหนังนิรภัย และหนังหน้ารองเท้าชนิดฟอกโครม ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตรองเท้าคอมแบต แสดงเครื่องหมาย มอก. โดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 2,621 ชิ้น รวมมูลค่า 257,977 บาท จากนั้น เข้าตรวจคลังสินค้าอีกแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ตำบลคูคต อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี หลังตรวจพบการจำหน่ายกระทะเทฟลอน ซึ่งเป็นสินค้าควบคุม ไม่มีเครื่องหมาย มอก. ผ่านช่องทางออนไลน์ จากการตรวจสอบพบกระทะเทฟลอน ไม่มีเครื่องหมาย มอก. จำนวน 339 ใบ รวมมูลค่า 43,257 บาท จึงดำเนินการยึดอายัดสินค้าดังกล่าวไว้ทั้งหมด เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป รวมมูลค่าสินค้าที่ยึดอายัดทั้ง 2 แห่ง 301,234 บาท ทั้งนี้ รายงานข่าวแจ้งว่า นอกจากนี้คณะกรรมการดำเนินการ "ร้าน มอก." ที่มี นางพงษ์ศิริ วรรณศรี รองเลขาธิการ สมอ. เป็นประธาน ยังพิจารณาอนุมัติ ร้าน มอก. เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนซื้อสินค้าจากร้านค้าที่สินค้าได้มาตรฐาน โดยอนุมัติอนุมัติเพิ่ม 7 ราย ได้แก่ บริษัท เหล็กทรัพย์ จำกัด จังหวัดสมุทรสาคร, บริษัท เค.ที.เอ็ม. สตีล จำกัด จังหวัดนครราชสีมา, บริษัท ศรีพลาญชัยไลท์ติ้ง (2015) จำกัด จังหวัดร้อยเอ็ด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด ทวีศักดิ์การไฟฟ้า จังหวัดบุรีรัมย์, บริษัท สุโขทัยซีเมนต์ จำกัด จังหวัดสุโขทัย, บริษัท เรืองรวินทร์ เมทอลเซ็นเตอร์ จำกัด กรุงเทพฯ และจังหวัดสมุทรปราการ และบริษัท ระยองโฮมเซรามิค (2004) จำกัด จังหวัดระยอง
อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกัน สมอ.ยังลงพื้นที่จังหวัดสระบุรี อบรมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้ได้รับการรับรองมาตรฐาน มอก. เน้นผู้ประกอบการกลุ่มผลิตภัณฑ์คอนกรีต มีความรู้ความเข้าใจในข้อกำหนดของมาตรฐาน มอก.213-2560 ผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมเสร็จ และ มอก. 396-2549 ผลิตภัณฑ์เสาเข็มคอนกรีตเสริมเหล็กอัดแรงหล่อสำเร็จ รวมทั้งหลักเกณฑ์เฉพาะในการตรวจสอบเพื่อการอนุญาต การยื่นคำขอรับ ใบอนุญาตผ่านระบบ e-License การจัดทำเอกสารระบบควบคุมคุณภาพ การเตรียมตัวอย่างสำหรับส่งทดสอบ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ที่เกี่ยวข้องกับ สมอ.
นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา
อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM)
2. ดีพร้อมผนึกพันธมิตรหนุนน้ำมัน SAF ดันธุรกิจการบินสู่เป้าหมาย Net Zero (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 15 พฤษภาคม 2568)
นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) เปิดเผยว่า ดีพร้อมมีการจัดทำแนวทางการส่งเสริมการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานยั่งยืน (Sustainable Aviation Fuel) หรือที่เรียกว่า SAF และศึกษาวัตถุดิบ ที่มีศักยภาพในการผลิต SAF โดยเฉพาะน้ำมันปรุงอาหารใช้แล้ว (Used Cooking Oil: UCO) ตามแผนบริหารจัดการน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศไทย รวมถึงเดินหน้าสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการ พร้อมทั้งสนับสนุนการบริหารจัดการโซ่อุปทานของ UCO สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต SAF โดยดีพร้อมได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และพันธมิตรภาคธุรกิจที่มีการใช้น้ำมันปรุงอาหาร ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มเซ็นทรัล บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) และสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป เพื่อสร้างเครือข่ายและส่งเสริม การบริหารจัดการโซ่อุปทานของ UCO ทั้งจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ สำหรับใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต SAF ในเชิงพาณิชย์โดยเป็นการรองรับอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทยให้มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล และสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการขนส่งทางอากาศ ทำให้เกิดการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับวัสดุเหลือทิ้ง ตามนโยบาย Bio-Circular-Green Economy สำหรับในระยะแรกของความร่วมมือภายใต้ MOU นี้ มุ่งเน้นการส่งเสริม และสนับสนุนให้เกิดกลไกการบริหารจัดการโซ่อุปทานของ UCO สำหรับการผลิต SAF ทั้งจากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการ โดยมีขอบเขตการดำเนินงาน ตั้งแต่ การประชาสัมพันธ์ แนะนำ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือ พร้อมทั้งสร้างการรับรู้และความตระหนักตลอดโซ่อุปทานในกระบวนการรวบรวม UCO สู่การเพิ่มมูลค่าเป็น SAF ตามแนวทาง BCG Model อีกทั้ง ยังเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับหน่วยงานอื่นๆ โดยเฉพาะภาคครัวเรือนให้หันมาให้ความสำคัญกับ การใช้ประโยชน์จาก UCO โดยไม่ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพและเกิดการจัดการอย่างถูกต้อง ซึ่งไม่เพียงเป็นการพัฒนาความมั่นคงด้านพลังงานและเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์การบินของประเทศ ยังส่งผลถึงความยั่งยืนของสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ในหลายประเทศยังไม่มีนโยบายบังคับเกี่ยวกับการผสม SAF ที่ชัดเจน โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย แต่ความต้องการเชื้อเพลิง SAF ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องทั่วโลก จากแรงขับเคลื่อนของเป้าหมาย Net Zero และการลดคาร์บอนในภาคการบิน ขณะเดียวกันในหลายภูมิภาค เช่น สหภาพยุโรป ได้เริ่มกำหนดเป้าหมายขั้นต่ำที่ 2% ภายในปี 2568 หลังจากนี้คงจะเริ่มเห็นทั่วโลกกับการใช้ SAF กันมากขึ้น ขณะที่ "ดีพร้อม" ก็จะเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ SAF ตอบโจทย์ความต้องการในอนาคต และร่วมผลักดันให้ไทยก้าวสู่ศูนย์กลางทางการบิน (Aviation Hub) ของภูมิภาค
นายภาสกร ชัยรัตน์
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)
3. เปิดตัวเครื่องมือแพทย์ฝีมือคนไทย (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 13 พฤษภาคม 2568)
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ, บริษัท อินทรอนิคส์ จำกัด เปิดตัวเครื่องวิเคราะห์การทำงานเครื่องช่วยหายใจ รุ่น VA-01 ฝีมือคนไทยที่ได้มาตรฐานสากล ISO 80601-2-12 และ SMM 04-1 ราคาต่ำกว่าสินค้านำเข้าถึง 3 เท่า เครื่องดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์ฝีมือคนไทย จากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่เน้นงานวิจัยและพัฒนา เพื่อผลิตเครื่องมือวัดทางการแพทย์คุณภาพสูงในราคาที่เข้าถึงได้ มีจุดเด่นด้านความแม่นยำ ในการวิเคราะห์การทำงานของเครื่องช่วยหายใจในโรงพยาบาลช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน สามารถตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องช่วยหายใจได้รวดเร็วแม่นยำพัฒนาขึ้นตามมาตรฐานสากล และวิธีการมาตรฐาน สำหรับเครื่องมือแพทย์
อย่างไรก็ตาม เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา สศอ.ได้ขับเคลื่อนโครงการเกี่ยวกับอุตสาหกรรมบริการทางการแพทย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ ลดต้นทุนการนำเข้ายกระดับการให้บริการทางการแพทย์ โดยดำเนินการไปแล้ว 16 โครงการ ด้วยงบประมาณ 307 ล้านบาท สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ 1,200 ล้านบาท ปีนี้จะพัฒนาอีก 7 โครงการ งบประมาณ 99 ล้านบาท เพื่อขยายการดำเนินงานไปยังส่วนอื่นๆ อาทิ การจับคู่ธุรกิจระหว่างงานนวัตกรรมโครงการหรือบริษัทกับนักลงทุน เพื่อต่อยอดขยายงานนวัตกรรมเชิงอุตสาหกรรมสู่การใช้งานเชิงพาณิชย์และสังคม และส่งออกไปตลาดโลก
ข่าวต่างประเทศ
4. ญี่ปุ่นเผย GDP ไตรมาสแรกหดตัวเกินคาด 0.2% เหตุภาษีทรัมป์ฉุดการส่งออก (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 16 พฤษภาคม 2568)
สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น เปิดเผยตัวเลขประมาณการเบื้องต้นในวันนี้ ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) หดตัวลง 0.2% ในไตรมาส 1/2568 เมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ซึ่งเป็นการหดตัวรายไตรมาสครั้งแรกในรอบ 1 ปี และย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะหดตัวเพียง 0.1% โดยเมื่อเทียบเป็นรายปี GDP ไตรมาส 1 หดตัวลง 0.7% ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกในรอบ 4 ไตรมาส และย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะหดตัวเพียง 0.2% สำหรับปัจจัยที่ทำให้ GDP ญี่ปุ่นหดตัวลงนั้น มาจากการส่งออกที่ชะลอตัวลงและการนำเข้าที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งได้บดบังการเติบโตของการลงทุนด้านทุน (capital investment) โดยการส่งออกในไตรมาส 1 ลดลง 0.6% เนื่องจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่ต้องพึ่งพาการส่งออก ขณะที่การนำเข้าพุ่งขึ้น 2.9% ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อตัวเลข GDP เช่นกัน ส่วนการลงทุนด้านทุนปรับตัวขึ้น 1.4% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 ไตรมาส ขณะที่การอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของระบบเศรษฐกิจญี่ปุ่น ปรับตัวขึ้น 0.04% ซึ่งแม้เป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกัน 4 ไตรมาส แต่ราคาสินค้าที่สูงขึ้นได้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยตัวเลข GDP ของญี่ปุ่นมีขึ้นในช่วงเวลาที่รัฐบาลญี่ปุ่นยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ ขณะที่ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เตือนเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมาว่า นโยบายภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ จะสร้างแรงกดดันต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของญี่ปุ่น ทั้งนี้ ถึงแม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ แต่ BOJ มีแนวโน้มที่จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป หลังจากกรรมการบางส่วนของ BOJ ส่งสัญญาณว่า BOJ มีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ระดับ 2% และ BOJ จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายหากแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อเป็นไปตามเป้าหมาย
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)