ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ที่ 1 ของเดือนกันยายน 2568

ข่าวในประเทศ

A person in a suit

AI-generated content may be incorrect.

นางสาวณัฏฐิญา

อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม)

1. DIPROM ปั้นโปรเจ็กต์แฟชั่นสายมู เชื่อมซอฟต์พาวเวอร์ สร้างมูลค่า 100 ล้าน (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, ประจำวันที่ 3 กันยายน 2568)

นางสาวณัฏฐิญา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม ได้ดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งสนับสนุนพลังสร้างสรรค์หรือ ซอฟต์พาวเวอร์ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของประเทศและพัฒนาความรู้ ความสามารถ และความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ให้พร้อมในการยกระดับศิลปะ วัฒนธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่ระดับสากล ขับเคลื่อนผ่านนโยบาย "ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้" 4 ให้ 1 ปฏิรูป ให้ทักษะใหม่ให้เครื่องมือทันสมัย ให้โอกาสโตไกลให้ธุรกิจไทยที่ดีคู่ชุมชน และปฏิรูปดีพร้อมสู่องค์กรที่ทันสมัย โดยกองพัฒนาอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ร่วมมือกับกองส่งเสริมผู้ประกอบการและธุรกิจใหม่ ได้ดำเนิน "กิจกรรมการพัฒนาผลิตภัณฑ์แฟชั่นสายมูมงคลเชื่อมโยงซอฟต์พาวเวอร์ไทย (Faith Fashion)" ภายใต้โครงการส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าแฟชั่นจากทุนทางวัฒนธรรมไทย ตามแนวทางการสร้าง Soft Power ด้วยการ "สร้างสรรค์และต่อยอด" ให้เกิดเสน่ห์ คุณค่า และเพิ่มมูลค่า "โน้มน้าว" ให้เกิดการยอมรับ เปิดใจ และต้องการ "เผยแพร่" ให้เป็นที่รู้จัก โดยโครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาศักยภาพให้ทักษะกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมและกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ในอุตสาหกรรมแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ที่จดทะเบียนการค้าหรือจดทะเบียนนิติบุคคลใน 4 สาขาอุตสาหกรรมแฟชั่นเป้าหมาย ได้แก่ 1. เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายไทย (Apparel)  2. อัญมณีและเครื่องประดับไทย (Jewely) 3. หัตถอุตสาหกรรมไทย (Craft) เช่น ถัก สาน ทอ ปั้น และ 4. เครื่องสำอางและความงาม (Beauty) พัฒนาให้มีองค์ความรู้และสามารถสร้างเอกลักษณ์ความหมายทางศาสนา ใช้วัฒนธรรม ความเชื่อ ความศรัทธา หรือการใช้หลักฮวงจุ้ยมาสร้างสรรค์งานออกแบบ เชื่อมโยงพัฒนาแบรนด์สินค้าแฟชั่นสายมู สร้างธุรกิจใหม่ สร้างมูลค่าที่สูงขึ้น พร้อมต่อยอดให้สามารถจำหน่ายได้จริงในเชิงพาณิชย์ โดยมีผู้สมัครเข้าร่วมกิจกรรมกว่า 100 กิจการ และคัดเลือกเหลือ 50 กิจการ จากทั่วประเทศ

อย่างไรก็ตาม สำหรับกิจการที่ผ่านการคัดเลือกได้รับองค์ความรู้จากการอบรม และสัมมนาเชิงปฏิบัติการจากผู้ทรงคุณวุฒิ และผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งกิจกรรมศึกษาดูงานอย่างเข้มข้น เพื่อนำแรงบันดาลใจต่อยอดสู่การพัฒนาสร้างสรรค์แบรนด์สินค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมายสายมูมงคลจนเป็นผลสำเร็จ เช่น พัฒนากระเป๋าใบโพธิ์ กระเป๋าเส้นใยธรรมชาติอักษรจีนมงคลทองคำเปลว ชุดแฟชั่นแรงบันดาลใจจากเครื่องลางต่างๆ เครื่องประดับสายมูเสริมมงคล ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางโดยแพทย์แผนไทยผสมความเชื่อโบราณ พร้อมต่อยอดให้สามารถจำหน่ายได้จริงในเชิงพาณิชย์ เช่น แฟชั่นสายบุญในช่วงเทศกาล แฟชั่นสายมูในภาคต่างๆ ของประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมช่องทางการตลาด โดยตั้งเป้าให้วิสาหกิจที่เข้าร่วมกิจกรรมได้รับการพัฒนามีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น คาดว่าสามารถสร้างรายได้และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้กว่า 100 ล้านบาท ทั้งนี้ ดีพร้อม เชื่อมั่นว่าการดำเนินกิจกรรมนี้ จะสามารถสร้างมูลค่าตอบโจทย์ทั้งในด้านจิตใจและความต้องการผู้บริโภคแฟชั่น พร้อมส่งเสริมภาพลักษณ์ของสินค้าไทย สร้างโอกาสธุรกิจใหม่ ให้เติบโตได้ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ก้าวไกลไปสู่ซอฟต์พาวเวอร์ระดับโลกได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

A person in a suit and tie

AI-generated content may be incorrect.

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์

ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

 

2. ส.อ.ท.ฟันธงครึ่งปีหลังรถอีวียังขาขึ้น (ที่มา: ข่าวสด, ประจำวันที่ 2 กันยายน 2568)

นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า เดือนกรกฎาคม 2568 มีรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) จดทะเบียนใหม่ 12,124 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 45.51% ส่งผลให้ 7 เดือนของปีนี้ (มกราคม - กรกฎาคม 2568) มีรถยนต์ BEV จดทะเบียนใหม่สะสม 81,179 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 35.08% ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด (HEV) จดทะเบียนใหม่ 11,815 คัน ลดลงจากปีก่อน 0.61% แต่ 7 เดือนยังมียอดจดทะเบียนใหม่สะสม 84,128 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.40% รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) มียอดจดทะเบียนใหม่ 1,286 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 55.69% ส่วน 7 เดือน มียอดจดทะเบียนใหม่สะสม 12,632 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 120.76% ทั้งนี้ ปัจจุบัน ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ภาพรวมรถยนต์ไฟฟ้า BEV จดทะเบียนสะสมทั้งสิ้น 307,428 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 60.61% รถยนต์ไฟฟ้า HEV มียอดจดทะเบียนสะสม 552,469 คัน เพิ่มขึ้น 29.49% รถยนต์ไฟฟ้า PHEV มียอดจดทะเบียนสะสม 75,693 คัน เพิ่มขึ้น 27.03%

อย่างไรก็ตาม ทางด้านกรมธุรกิจพลังงาน รายงานสถานการณ์การใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในรอบ 6 เดือน (มกราคม – กรกฎาคม 2568) พบว่า การใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเริ่มเห็นสัญญาณชะลอตัวลง โดยการใช้แก๊สโซฮอล์ 91 ลดลงมาอยู่ที่ 6.65 ล้านลิตร/วัน แก๊สโซฮอล์อี 20 ลดลงมาอยู่ที่ 5.14 ล้านลิตร/วัน เบนซิน ลดลงมาอยู่ที่ 0.40 ล้านลิตร/วัน และแก๊สโซฮอล์อี 85 ลดลงมาอยู่ที่ 0.06 ล้านลิตร/วัน ทั้งนี้ สาเหตุมาจากหลายปัจจัย อาทิ การขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า (BEV HEV และ PHEV) มีสัดส่วน 6.5% ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ไม่เกิน 7 คน รวมถึงการใช้งานระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนที่ขยายตัวต่อเนื่องคิดเป็น 3.2% เทียบกับปีก่อน ซึ่งการใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เพราะตัวแทนจำหน่ายจัดโปรโมชั่น และลดราคาแข่งกัน

A person in a suit and tie

AI-generated content may be incorrect.

นายวันชัย พนมชัย

เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)

3. สมอ.เดินหน้าบี้สินค้าทะลักไทย (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, ประจำวันที่ 3 กันยายน 2568)

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยว่า สำหรับมาตรการที่ สมอ. นำออกมาใช้เพื่อรับมือกับการไหลทะลักเข้ามาของสินค้า คือ 1. การกำหนดมาตรฐานบังคับให้ได้มากที่สุด ซึ่งมันจะส่งผลให้มีพิกัดศุลกากรเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย 2. ปรับลดเกณฑ์ขั้นต่ำของจำนวนการนำเข้าสินค้าที่ไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อการจำหน่าย 3. บังคับใช้ พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ในเขต Free Zone และ 4. ใช้ระบบ AI ตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ แน่นอนว่ามาตรการเหล่านี้จะสำเร็จหรือไม่ ส่วนหนึ่ง สมอ.ยังต้องใช้มาตรการเชิงรุกเรียกตัวแทนบริษัทนำเข้า-ส่งออก บริษัทชิปปิ้ง รวมถึงร้านค้า ผู้ค้าออนไลน์รายใหญ่ในตลาดเข้าชี้แจงรับทราบนโยบาย เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนจะมีวิกฤตภาษีทรัมป์เข้ามา โดย สมอ.พบว่ามีทั้งที่มีใบอนุญาตเข้ามาแข่งขันดัมพ์ราคาในประเทศ และส่วนที่เป็นสินค้าเถื่อน สมอ.ตั้งมาตรการสกัดสินค้าเหล่านี้มาโดยตลอด แต่เมื่อกำลังพลของราชการที่ไม่เคยเพียงพอ หน้าด่านแรกที่ท่าเรือ ศุลกากรจึงไม่สามารถตรวจค้นตู้คอนเทนเนอร์ได้ครบ 100% ช่องโหว่ตรงนี้ ทำให้เหล่าบรรดาผู้นำเข้ากล้าที่จะเสี่ยงส่งสินค้าเข้ามาหลุดรอดบ้าง ถูกจับได้บ้าง และอีกเส้นทางของการหลบเลี่ยง จากพิกัดศุลกากร โดยการสำแดงเท็จ ทำให้สินค้าไหลเข้ามาล้นตลาด นี่ยังไม่รวมกับกองทัพมดจากแถบชายแดนในขณะที่ทีมสุดซอยที่ถูกตั้งขึ้นมาภายใต้คำสั่งของนายเอกนัฏ โดยมีนางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ เป็นหัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าคณะตรวจการณ์สุดซอย หรือทีมสุดซอยกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่ ตรวจโรงงานอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายว่าจะมีการนำเข้าและผลิตสินค้าที่ไม่ได้รับอนุญาตปลายทางตรงนี้แม้จะไม่ได้เป็นการสกัดและแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ แต่การดำเนินการในส่วนนี้ทำให้สามารถสาวถึงต้นทางและต้นตอของปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งหากนับตั้งแต่วันเริ่มภารกิจ ช่วงระหว่างพฤศจิกายน 2567-สิงหาคม 2568 (อัพเดตถึงวันที่ 21 สิงหาคม 2568) การดำเนินการทางกฎหมายที่ดำเนินการตรวจสอบมาตรฐานอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้นจำนวน 37 ราย รวม 51 ครั้ง ส่วนใหญ่พบเป็นธุรกิจจากต่างชาติถึง 14 ราย รองลงมาเป็นทุนไทย และร่วมทุนกับต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นเหล็ก ยางล้อ และอุปกรณ์สายไฟ ปลั๊ก

อย่างไรก็ตาม สถิติทั้งหมดที่เปิดเผยจาก สมอ.เป็นเพียงแค่กลุ่มตัวอย่าง และการตรวจค้นแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น ซึ่งยังไม่รวมไปถึงผลกระทบจากภาษีทรัมป์ ที่เชื่อว่าจะมีสินค้าอีกหลายประเภทและจำนวนมากไหลเข้าไทยอีก การสกัดด้วยมาตรฐาน มอก.อาจจะใช้ได้กับสินค้าเถื่อน แต่กับสินค้าที่มีมาตรฐาน เราจะสกัดด้วยวิธีใด แม้ว่าจะมีการคิดถึงเรื่องการกำหนดโควตานำเข้า หรือจำกัดสัดส่วนปริมาณนำเข้าก็ตาม แต่ พ.ร.บ.สมอ.ไม่มีอำนาจ โดยหน่วยงานที่มีอำนาจในการกำหนดโควตาการนำเข้า คือ กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมการค้าต่างประเทศสามารถออกมาตรการกำหนดโควตา กำหนดมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Countervailing Duty : CVD) เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ และผู้บริโภคคนไทย ทั้งนี้ การออกมาตรการต่างๆ อาจถูกมองว่าประเทศไทยมีการกีดกันทางการค้า หรือเอกชนผู้นำเข้าที่ได้รับผลกระทบอาจมองว่าเป็นการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม มีความได้เปรียบเสียเปรียบเกิดขึ้นได้ แต่ถึงกระนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ไม่เช่นนั้นอุตสาหกรรมไทยจะประสบปัญหาถึงขั้นล้มทั้งยืน

 

ข่าวต่างประเทศ

A red circle on a white background

AI-generated content may be incorrect.

4. PMI ภาคผลิตขั้นสุดท้ายญี่ปุ่นยังซบเซาต่อในเดือนส.ค. พิษยอดสั่งซื้อส่งออกร่วงหนัก (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 1 กันยายน 2568)

S&P Global เปิดเผยผลสำรวจดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นประจำเดือนสิงหาคม 2568 โดยระบุว่า กิจกรรมภาคการผลิตของประเทศได้หดตัวลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง มีสาเหตุสำคัญมาจากยอดคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกที่ทรุดตัวลงอย่างรุนแรง ท่ามกลางผลกระทบจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ และอุปสงค์ในตลาดโลกที่อ่อนแอลง โดยดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายในเดือนสิงหาคม อยู่ที่ระดับ 49.7 แม้จะปรับตัวดีขึ้นจากระดับ 48.9 ในเดือนกรกฎาคม แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 50.0 ซึ่งเป็นเกณฑ์ชี้วัดภาวะหดตัว ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ทั้งนี้ แม้อัตราการหดตัวของผลผลิตภาคโรงงานจะชะลอตัวลง แต่ยอดคำสั่งซื้อใหม่โดยรวมยังคงลดลงในอัตราเดียวกับเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงสภาวะตลาดที่ยังคงซบเซา

อย่างไรก็ตาม ทางด้านแอนนาเบล ฟิดเดส ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายเศรษฐศาสตร์แห่ง S&P Global Market Intelligence ชี้ว่า ประเด็นที่น่ากังวลเป็นพิเศษคือ ยอดคำสั่งซื้อใหม่เพื่อการส่งออกที่ทรุดตัวลงอย่างรุนแรง ซึ่งนับเป็นการปรับตัวลดลงแรงที่สุดในรอบเกือบ 1 ปีครึ่ง โดยกลุ่มผู้ผลิตอ้างถึงอุปสงค์ที่อ่อนแอลงจากตลาดสำคัญอย่างจีน ยุโรป และสหรัฐฯ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลภาครัฐที่ชี้ว่ายอดส่งออกในเดือนกรกฎาคม 2568 ลดลงมากที่สุดในรอบกว่า 4 ปี

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)