ข่าวในประเทศ
ดร.ณัฐพล รังสิตพล
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
1. 'ดีพร้อม' บุกล้านนา เปิดตัวศูนย์ออกแบบ Thai-IDC เดินหน้าปั้นนักออกแบบมือโปร (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 17 กันยายน 2568)
ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม มุ่งผลักดันภาคอุตสาหกรรมไทยให้สามารถปรับตัวเข้าสู่วิถีใหม่ซึ่งเน้นการยกระดับขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจของภาคอุตสาหกรรมทุกมิติ รวมถึงส่งเสริมและสนับสนุนให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ตลอดจนเชื่อมโยงการบริการเพื่อเพิ่มศักยภาพผู้ประกอบการอุตสาหกรรมในการนำความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรมและเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งช่วยเหลือ วิสาหกิจไทยปรับตัวและเติบโตสู่สากลอย่าง ยั่งยืนโดยเน้นการสร้างและพัฒนาอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ปรับเปลี่ยน และขับเคลื่อนคุณค่าใหม่ของอุตสาหกรรมที่รองรับบริบททางเศรษฐกิจของประเทศในแต่ละพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมด้วยการใช้ "หัว" และ "ใจ" ในการให้บริการปั้นอุตสาหกรรมคู่ชุมชนให้สมดุลและยั่งยืนควบคู่กับอุตสาหกรรมสู่วิถีใหม่ โดยล่าสุด กระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) เร่งขับเคลื่อนและสนับสนุนพลังสร้างสรรค์ในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ด้วยการพัฒนารูปแบบการให้บริการและบุคลากรของศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (DIPROM Thailand Industrial Design Center : DIPROM Thai-IDC) เพื่อเป็นเพื่อนคู่คิด (Partner) แก่ ผู้ประกอบการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ พร้อมเชื่อมโยงการบูรณาการด้านออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์กับหน่วยงานเครือข่ายตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เพื่อส่งเสริมการปรับเปลี่ยนโครงสร้างจากการรับจ้างผลิตสู่การออกแบบผลิตภัณฑ์ การเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ไทย รวมถึงการยกระดับศักยภาพ ขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการในเชิงพื้นที่ให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริม อุตสาหกรรม กล่าวว่า ดีพร้อมมุ่งปฏิรูปการทำงานในรูปแบบใหม่ที่สามารถส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ เอสเอ็มอีและวิสาหกิจชุมชน นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีไปประยุกต์ใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์และสร้างมูลค่าเพิ่มได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ดีพร้อม ได้ขยายเครือข่ายศูนย์ให้บริการควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรนักออกแบบของดีพร้อม ด้วยการเปิดศูนย์ DIPROM Thai-IDC ณ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1 (DIPROM Center 1) จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้บริการแก่ผู้ประกอบการที่มาขอรับบริการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะมีบุคลากรของดีพร้อมที่มีความเชี่ยวชาญ ในการให้คำปรึกษาแนะนำด้านการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ผ่านกิจกรรม "พัฒนาศักยภาพศูนย์ออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์" (DIPROM Thailand Industrial Design Center DIPROM Thai-IDC Get set, Go) เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายศูนย์ DIPROM Thai-IDC ระหว่างส่วนกลางและภูมิภาค รวมทั้งการพัฒนารูปแบบและบริการให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยการพัฒนาองค์ความรู้ ทักษะ และความสามารถของ บุคลากรดีพร้อมในการปฏิบัติงานด้านต่างๆ ตลอดจน การให้คำปรึกษาแนะนำผู้ประกอบการในการนำความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และเทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ อีกทั้ง การให้บริการเครื่องมือและเครื่องจักรต่างๆ ที่สนับสนุนการออกแบบอย่างครบวงจร สำหรับศูนย์ออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Thailand Industrial Design Center : DIPROM Thai-IDC) จัดตั้งขึ้นในปี 2559 มาจนถึงปัจจุบันโดยศูนย์ DIPROM Thai-IDC ตั้งอยู่ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมทั้งสิ้น 13 แห่ง สร้างเครือข่ายนักออกแบบและเกิดผลิตภัณฑ์สร้างสรรค์คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 320 ล้านบาท
นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา
อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม)
2. 'ดีพร้อม' ดึงโมเดล PMQ Hong Kong ยกระดับอุตฯ ออกแบบไทย (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 15 กันยายน 2568)
นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) หรือ (DIPROM) เปิดเผยว่า นางดวงดาว ขาวเจริญ รองอธิบดี ดีพร้อม นำคณะเข้าศึกษาดูงานและเยี่ยมชมศูนย์กลางความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงของฮ่องกง หรือ Police Married Quarters Hong Kong (PMQ Hong Kong) ณ ถนนอเบอร์ดีน เซ็นทรัล เขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน สำหรับ PMQ Hong Kong เป็นศูนย์กลางความคิดสร้างสรรค์และการออกแบบร่วมสมัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก ตั้งอยู่ใจกลางฮ่องกง เป็นพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาใหม่จากอาคารประวัติศาสตร์ ให้กลายเป็น Creative Hub ที่รวบรวม นักออกแบบ ศิลปิน ผู้ประกอบการสร้างสรรค์ และนักพัฒนาเทคโนโลยี เข้ามาสร้างสรรค์ผลงานและเชื่อมโยงธุรกิจ จุดเด่นของ PMQ Hong Kong คือ เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ที่มีสตูดิโอกว่า 100 สตูดิโอ สำหรับนักออกแบบและผู้ประกอบการด้านแฟชั่น งานหัตถกรรม เครื่องประดับ และเทคโนโลยีสร้างสรรค์ มาสร้างสรรค์ผลงาน นอกจากนี้ ยังมีการจัดนิทรรศการนานาชาติและเทศกาลศิลปะ ที่เปิดพื้นที่ให้ผู้สร้างสรรค์ได้พบปะกับผู้ซื้อ นักลงทุน และนักวิจารณ์จากทั่วโลก รวมถึงการเวิร์กช็อปและกิจกรรมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ที่ช่วยเสริมสร้างทักษะใหม่ๆ ทั้งด้านการออกแบบ การพัฒนาธุรกิจ และการใช้เทคโนโลยี พร้อมระบบบริหารจัดการพื้นที่ที่ยั่งยืน สนับสนุนทั้งการเช่าในราคาที่เหมาะสม และการสร้างชุมชนของผู้ประกอบการสร้างสรรค์ให้เติบโตไปด้วยกัน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการและนักออกแบบไทยสามารถนำรูปแบบความสำเร็จของ PMQ Hong Kong เป็นต้นแบบการพัฒนาพื้นที่สร้างสรรค์ในประเทศไทย ประกอบด้วย 1. พัฒนาศูนย์สร้างสรรค์ท้องถิ่น (Creative Hub) ในไทย เพื่อเป็นพื้นที่บ่มเพาะนักออกแบบรุ่นใหม่และผู้ประกอบการ SMEs ด้านแฟชั่น ศิลปะ และดิจิทัลคอนเทนต์ 2. สร้างระบบเครือข่าย (Creative Network) เชื่อมโยงนักออกแบบไทยกับพันธมิตรต่างประเทศ เพื่อขยายโอกาสด้านการค้าและการลงทุน 3. จัดนิทรรศการและเวิร์กช็อประดับนานาชาติในไทย เพื่อต่อยอดศักยภาพ Soft Power และสร้างการรับรู้ต่อผลงานของนักออกแบบไทยในสายตาชาวโลก และ 4. ยกระดับอุตสาหกรรมแฟชั่นและออกแบบไทย จากงานเชิงหัตถกรรมและท้องถิ่น สู่การออกแบบเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
อย่างไรก็ตาม PMQ Hong Kong ไม่เพียงเป็นศูนย์กลางการออกแบบร่วมสมัย แต่ยังเป็นตัวอย่างของการใช้ความคิดสร้างสรรค์และการจัดการพื้นที่เพื่อสร้างเศรษฐกิจใหม่ โดยการเรียนรู้จาก PMQ Hong Kong จะช่วยให้ผู้ประกอบการและนักออกแบบไทยสามารถต่อยอดแนวคิดไปพัฒนา Creative Hub ในประเทศไทย ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ไทยสู่เวทีนานาชาติ และสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป
นายพรยศ กลั่นกรอง
อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.)
3. "กรมโรงงานอุตสาหกรรม" จัดงาน "วันโอโซนสากล 2568" สร้างตระหนักรู้ความสำคัญโอโซน (ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, ประจำวันที่ 18 กันยายน 2568)
นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้เป็นประธานเปิดงานวันโอโซนสากล ประจำปี 2568 ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซน ได้จัดงาน "วันโอโซนสากล ประจำปี 2568" ขึ้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน ภายใต้แนวคิด "From science to global action" เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความ547+*สำคัญของการอนุรักษ์ชั้นบรรยากาศโอโซน ปัจจุบันกรมโรงงานฯ ยังได้เตรียมความพร้อมสำหรับโครงการสำคัญต่างๆ ร่วมกับธนาคารโลก เช่น โครงการลดและเลิกใช้สาร HCFCs ระยะที่ 3 และ โครงการลดการใช้สาร HFCs ระยะที่ 1 รวมถึงโครงการร่วมกับกระทรวงพลังงาน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถดำเนินการตามพันธกรณีของพิธีสารมอนทรีออลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเตรียมความพร้อมให้กับทุกภาคส่วนในการรับมือกับการลดและเลิกใช้สารที่ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนในอนาคต ทั้งนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรมในฐานะหน่วยงานหลักที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลไทยให้กำกับดูแลการลดและเลิกใช้สารทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนตามพันธกรณีภายใต้พิธีสารมอนทรีออล ได้จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องใน “วันโอโซนสากล (World Ozone Day)” ซึ่งตรงกับวันที่ 16 กันยายนของทุกปี ภายใต้แนวคิด “From science to global action” เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการอนุรักษ์ชั้นบรรยากาศโอโซน ผ่านการประชาสัมพันธ์ในกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรม “แชะ & แชร์” โดยติดตั้งสื่อประชาสัมพันธ์วันโอโซนผ่านป้ายโฆษณาบริเวณรถไฟฟ้า BTS และกิจกรรม Ozone Run เพื่อประชาสัมพันธ์และกระตุ้นการมีส่วนร่วมจากประชาชน โดยจัดขึ้นที่สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ และจังหวัดราชบุรี ซึ่งได้รับความสนใจและการตอบรับเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม นอกจากกิจกรรมข้างต้นแล้ว ปัจจุบัน กรมโรงงานอุตสาหกรรมอยู่ระหว่างเตรียมการจัดทำโครงการร่วมกับธนาคารโลกไม่ว่าจะเป็นโครงการการลดและเลิกใช้สาร HCFCs ระยะที่ 3 โครงการลดการใช้สาร HFCs ระยะที่ 1 และโครงการด้านการสนับสนุนของกองทุนหมุนเวียนเพื่อประสิทธิภาพด้านพลังงาน (Energy Efficiency Revolving fund) ร่วมกับ กระทรวงพลังงาน เพื่อให้ประเทศไทยดำเนินการภายใต้พันธกรณีของพิธีสารมอนทรีออล และฉบับแก้ไข ณ กรุงคิกาลี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับภาครัฐ และภาคเอกชนในการลดและเลิกใช้สารที่ทำลายชั้นบรรยากาศโอโซนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ข่าวต่างประเทศ
4. จีนตั้งเป้าขายรถยนต์ปีนี้ 32.3 ล้านคัน ตามแผนหนุนอุตฯ ยานยนต์ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 15 กันยายน 2568)
กระทรวงอุตสาหกรรมของจีน เปิดเผยว่า จีนตั้งเป้าการขายรถยนต์ทั้งหมดที่ 32.3 ล้านคัน ในปี 2568 ซึ่งต่ำกว่าการคาดการณ์ของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์จีน (CAAM) ที่ 32.9 ล้านคัน โดยจีนประกาศเป้าหมายดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 12 กันยายน 2568 อันเป็นส่วนหนึ่งของแผนสนับสนุนการเติบโตอย่างมั่นคงในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กระทรวงอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศของจีน ร่วมกับอีก 7 หน่วยงานของรัฐบาล สำหรับรถยนต์พลังงานใหม่ (New Energy Vehicles) ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 15.5 ล้านคัน เพิ่มขึ้นประมาณ 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ต่ำกว่าการคาดการณ์ของ CAAM ที่ 16 ล้านคัน ทั้งนี้ แผนดังกล่าวยังระบุถึงการอนุมัติแบบมีเงื่อนไขสำหรับรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 3 พร้อมความพยายามปรับปรุงความปลอดภัยบนท้องถนน กรอบประกันภัย และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ แผนยังครอบคลุมมาตรการเสริมสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรม และส่งเสริมสภาพแวดล้อมตลาดที่เป็นระเบียบ
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ กระทรวงอุตสาหกรรมระบุว่า จะเริ่มแคมเปญระยะ 3 เดือนเพื่อปราบปรามการโฆษณาเท็จและความผิดปกติอื่นๆ ในตลาดออนไลน์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งมาตรการปราบปรามดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่กฎระเบียบในตลาดรถยนต์จีนซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก เข้มงวดขึ้นในเดือนพฤษภาคม เพื่อลดผลกระทบจากสงครามราคาที่ยืดเยื้อซึ่งสร้างความเสียหายให้กับผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และตัวแทนจำหน่ายรถยนต์
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)