ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนกันยายน 2568

ข่าวในประเทศ

A person sitting at a desk writing on papers

AI-generated content may be incorrect.

ดร.ณัฐพล รังสิตพล

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอี จัดมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 24 กันยายน 2568)

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และประธานกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอี ตามแนวประชารัฐ เปิดเผยว่า กองทุนฯ ได้ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนฯ ซึ่งได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ หลังหลายพื้นที่ประสบอุทกภัยและวาตภัยรุนแรง รวมถึงความขัดแย้งตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจและก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยมาตรการครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อลดภาระการชำระหนี้และเสริมสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการ โดยกำหนดให้ลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนฯ ที่อยู่ในพื้นที่ได้รับผลกระทบ สามารถยื่นความประสงค์เข้าร่วมมาตรการฯ ได้ภายใน 90 วัน นับจากวันที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย ประกาศพื้นที่ประสบภัย หรือในกรณีฉุกเฉินภายใต้การประกาศกฎอัยการศึกในบางเขตพื้นที่ เพื่อให้ผู้ประกอบการมีเวลาเพียงพอในการจัดเตรียมเอกสารและเข้าสู่กระบวนการช่วยเหลือ โดยมาตรการดังกล่าวครอบคลุมถึงการพักชำระหนี้เงินต้นสูงสุดไม่เกิน 3 เดือน โดยลูกหนี้จะชำระเฉพาะดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือน และเมื่อครบกำหนดการพักหนี้ เงินต้นที่ถูกเลื่อนการชำระจะถูกนำไปรวมไว้ที่งวดสุดท้ายตามสัญญากู้ยืม ในกรณีที่มีงวดค้างชำระหรือดอกเบี้ยผิดนัด กองทุนฯ กำหนดให้ตั้งพักดอกเบี้ยเพื่อไม่ให้เกิดภาระทับถม และให้นำไปชำระในงวดสุดท้ายเช่นกัน ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมจะต้องเป็นลูกหนี้ที่ยังไม่ถูกจัดชั้นเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และไม่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี เพื่อให้ความช่วยเหลือครอบคลุมผู้ประกอบการที่ยังมีศักยภาพในการฟื้นตัว แต่กำลังประสบปัญหาสภาพคล่องจากเหตุการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นลูกหนี้สินเชื่อของกองทุนฯ และอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับการประกาศภัยพิบัติสามารถยื่นความประสงค์เข้าร่วมมาตรการฯ ได้ที่ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ทุกสาขาทั่วประเทศ สำหรับการสนับสนุนเอสเอ็มอีครั้งนี้ไม่ได้มุ่งเพียงการบรรเทาผลกระทบเฉพาะหน้า แต่เป็นการวางรากฐานให้ธุรกิจสามารถฟื้นตัวและกลับมาเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป

 

A person in a suit sitting at a desk

AI-generated content may be incorrect.

นายพรยศ กลั่นกรอง

อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม

 

2. ก.อุตฯ ช่วย 7,600 รง. สีเขียวกู้ดอกต่ำ (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 23 กันยายน 2568)

นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในปี 2568 นี้ มีสถานประกอบการได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 และระดับที่ 5 รวมทั้งสิ้น 273 ราย ประกอบด้วย อุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 5 เครือข่ายสีเขียว (Green Network) จำนวน 43 ราย และอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 วัฒนธรรมสีเขียว (Green Culture) จำนวน 230 ราย ซึ่งพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรมสีเขียวในครั้งนี้ เป็นการแสดงให้สังคมรับทราบถึงความมุ่งมั่นของภาคอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความปลอดภัยในการประกอบกิจการ มีความรับผิดชอบต่อสังคม นำไปสู่การอยู่ร่วมกันระหว่างโรงงานอุตสาหกรรม สังคม และชุมชนที่อยู่โดยรอบอย่างยั่งยืน โดยโรงงานที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ตั้งแต่ระดับ 2 ขึ้นไปสามารถขอใช้ตราสัญลักษณ์อุตสาหกรรมสีเขียวบนผลิตภัณฑ์เพื่อการประชาสัมพันธ์ และได้รับสิทธิประโยชน์จากพันธมิตร เช่น การขอสัญลักษณ์ Thailand Trust Mark การขอรับเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำหรือปลอดดอกเบี้ยจากธนาคารกรุงไทย SME D Bank และ EXIM Bank นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจาก สวทช.และโปรแกรม ITAP ให้คำแนะนำปรึกษาด้านเทคโนโลยีการผลิต และการประเมินตนเองผ่าน Thailand 4.0 Checkup และ DIW Safety App รวมถึงการแปรผลเพื่อนำข้อมูลไปใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2568 มีสถานประกอบการที่ได้รับการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวจำนวน 57,910 โรงงาน แบ่งเป็นระดับ ดังนี้ ระดับที่ 1 ความมุ่งมั่นสีเขียว (Green Commitment) จำนวน 50,249 โรงงาน คิดเป็นสัดส่วน 86.77% ระดับที่ 2 ปฏิบัติการสีเขียว (Green Activity) จำนวน 3,429 โรงงาน คิดเป็นสัดส่วน 5.92% ระดับที่ 3 ระบบสีเขียว (Green System) จำนวน 3,682 โรงงาน คิดเป็นสัดส่วน 6.36% ระดับที่ 4 วัฒนธรรมสีเขียว (Green Culture) จำนวน 476 โรงงาน คิดเป็นสัดส่วน 0.82 ระดับที่ 5 เครือข่ายสีเขียว (Green Network) จำนวน 74 โรงงาน คิดเป็นสัดส่วน 0.13 รวมระดับ 2-5 อยู่ที่ 7,661 โรงงาน

 

A person in a suit and tie

AI-generated content may be incorrect.

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

 

3. BOI เผยอินฟินีออนพร้อมรุกดึงพันธมิตรผลิตชิปในไทย (ที่มา: ทันหุ้น, ประจำวันที่ 22 กันยายน 2568)

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และเลขานุการคณะกรรมการ นโยบายเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงแห่งชาติ เปิดเผยว่า หลังจากที่บีโอไอให้การส่งเสริมการลงทุนแก่บริษัท Infineon Technologies ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี ที่มีส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ของโลก ในกลุ่มชิปสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่ให้กำลังไฟในงานอุตสาหกรรม (Power Electronics) ซึ่งตัดสินใจเลือกไทยเป็นฐานประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ ประเภท Power Module ที่ใช้ในอุปกรณ์ควบคุมระบบไฟฟ้า สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบกักเก็บพลังงานและการบริหารจัดการพลังงานสะอาด โดยจะเป็นศูนย์ประกอบและทดสอบชิปที่ใหญ่ที่สุดที่อยู่นอกประเทศเยอรมนีของกลุ่มอินฟินีออน มีพิธีวางศิลาฤกษ์โรงงานผลิตที่จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อเดือนมกราคม 2568 ที่ผ่านมา และมีแผนจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 5,000 คน นอกจากนี้ อินฟินีออนยังมีแผนดึงพันธมิตรระดับโลกเข้ามาร่วมในห่วงโซ่การผลิตในไทย เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตให้รองรับตลาดทั้งในและนอกภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ล่าสุด Mr.George Lee, EVP and Head of Backend Operations ผู้บริหารอินฟินีออนได้นำ Mr.Manuel Zarauza Brandulas, Group Managin Director of MPI พันธมิตรรายสำคัญเข้าพบเลขาธิการบีโอไอ และประกาศการโอนกิจการเดิมในส่วนการผลิต Backend Semiconductor สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และการสื่อสาร ที่จังหวัดนนทบุรี ซึ่งมีพนักงานกว่า 1,000 คน ให้กับบริษัท Malaysian Pacific Industries (MPI) จากประเทศมาเลเซีย ภายใต้บริษัท Carsem ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการประกอบ บรรจุ และทดสอบชิป (Outsourced Semiconductor Assembly, Packaging and Testing OSAT) รายใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย ให้บริการแก่ลูกค้าทั่วโลกมานานกว่า 50 ปี โดยการโอนกิจการครั้งนี้ MPI มีข้อตกลงระยะยาวในการผลิตวัตถุดิบและชิ้นส่วนเพื่อส่งต่อให้กับโรงงานแห่งใหม่ของอินฟินีออน ที่จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อใช้ในการประกอบ Power Module นอกจากนี้ MPI ยังมีแผนขยายการลงทุนในไทยเพิ่มเติมในการพัฒนา บรรจุภัณฑ์ขั้นสูงสำหรับชิป (Advanced Packaging) เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้ารายอื่นด้วย

อย่างไรก็ตาม การที่อินฟินีออน ดึงผู้ผลิตชิปรายใหม่และเป็นพันธมิตรสำคัญอย่าง MPI ให้เข้ามาลงทุน ในไทย แสดงถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อประเทศไทย ทั้งความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน มาตรการสนับสนุนของภาครัฐ และคุณภาพของบุคลากรไทยที่สามารถรองรับการผลิตที่มีมาตรฐานสูงได้ สำหรับในส่วนการลงทุนสร้างโรงงานแห่งใหม่ของอินฟินีออน ส่งผลบวกอย่างมากต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ไทย โดยนอกจากจะมีการผลิตที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงแล้ว บริษัทยังมีแผนพัฒนาระบบนิเวศของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและหน่วยงานด้านนวัตกรรมของไทย เพื่อพัฒนาบุคลากรสาขาวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเซมิคอนดักเตอร์ รวมถึงการพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในซัพพลายเชนด้วย โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 การลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ขอรับการส่งเสริมมากถึง 168 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.08 แสนล้านบาท

 

ข่าวต่างประเทศ

A flag with a red circle and black lines

AI-generated content may be incorrect.

 

4. ความเชื่อมั่นธุรกิจเกาหลีใต้เดือนก.ย.สูงสุดในรอบ 10 เดือน จากอุตฯ ชิป-มาตรการรัฐ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 26 กันยายน 2568)

ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเกาหลีใต้ในเดือนกันยายน 2568 ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน โดยมีปัจจัยหนุนมาจาก               การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมชิปและภาคการผลิตอื่นๆ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ซึ่งดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจโดยรวม (CBSI) สำหรับทุกภาคอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น 0.6 จุดจากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ 91.6 ในเดือนกันยายน  ถือเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2567 และยังเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง สำหรับดัชนีดังกล่าวใช้วัดมุมมองของภาคธุรกิจที่มีต่อสภาวะทางธุรกิจโดยรวม ซึ่งค่าที่ต่ำกว่า 100 หมายความว่า บริษัทที่มีมุมมองเชิงลบมีจำนวนมากกว่าบริษัทที่มีมุมมองบวก โดยการสำรวจดำเนินการในช่วงต้นเดือนนี้ และครอบคลุมบริษัท 3,298 แห่ง ซึ่งประกอบด้วยผู้ผลิต 1,843 ราย ทั้งนี้ เมื่อแยกตามภาคส่วน ดัชนีความเชื่อมั่นในภาคการผลิตปรับขึ้น 0.1 จุดจากเดือนก่อนหน้า สู่ระดับ 93.4 ในเดือนกันยายน ขณะที่ความเชื่อมั่นนอกภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 1.1 จุด มาอยู่ที่ 90.5

อย่างไรก็ตาม ทางด้านเจ้าหน้าที่ของ BOK กล่าวว่า ถึงแม้จะยังมีความไม่แน่นอนสูงจากการเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ ที่ล่าช้า แต่ภาคการผลิตที่นำโดยกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ก็ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย ส่วนนอกภาคการผลิต โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกและค้าส่ง ก็ได้รับประโยชน์จากคูปองกระตุ้นการใช้จ่ายของรัฐบาลและมาตรการอื่นๆ ที่มุ่งส่งเสริมอุปสงค์ในประเทศ โดยผลสำรวจชี้ว่า แนวโน้มความเชื่อมั่นของทุกอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม กลับลดลง 3.3 จุด มาอยู่ที่ 88.5 ภายใต้ข้อตกลงที่ทั้งสองฝ่ายบรรลุร่วมกันเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม สหรัฐฯ ได้ลดภาษีศุลกากรตอบโต้ที่เรียกเก็บจากเกาหลีใต้ลงเหลือ 15% จากเดิมที่ 25% เพื่อแลกกับคำมั่นสัญญาของเกาหลีใต้ว่าจะลงทุนในสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์ ขณะนี้การเจรจาระหว่างสองประเทศเพื่อกำหนดรายละเอียดของข้อตกลงยังคงดำเนินอยู่ และยังไม่มีการลงนามในข้อตกลงอย่างเป็นทางการ

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)