ข่าวในประเทศ
นายณัฐพล รังสิตพล
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
1. นิคมฯ เอสเอ็มอีแจ้งเกิดหนุนธุรกิจเติบโตเข้มแข็ง (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 2 ตุลาคม 2568)
นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อมได้ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) และสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สป.อว.) ลงนามบันทึกความเข้าใจเดินหน้าสร้างนิคมอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีจัดสรรพื้นที่รองรับผู้ประกอบการ และสนับสนุนย้ายถิ่นฐานเข้าสู่พื้นที่นิคมฯ ให้ได้รับการดูแลอย่างเป็นระบบ และจัดระเบียบเอสเอ็มอีให้พัฒนาเข้มแข็งต่อยอดด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และเครือข่ายธุรกิจในอนาคต คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1,000 ล้านบาท จัดระเบียบเอสเอ็มอีให้เติบโตในทิศทางเดียวกัน ทั้งนี้ ทางด้านนายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า กนอ.จะจัดสรรพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเป้าหมายสำหรับจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีต้นแบบสัดส่วนอย่างน้อย 5% จัดให้มีโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคที่เหมาะสม ยืดหยุ่นต่อการพัฒนาและผลักดันให้เกิดการจับคู่ธุรกิจระหว่างสถานประกอบการขนาดใหญ่ เอสเอ็มอีและชุมชนรอบนิคมอุตสาหกรรม โดยบูรณาการดำเนินงานร่วมกับดีพร้อมเพื่อเป็นแม่เหล็กกระตุ้นให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีใช้พื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม กนอ. ได้กำหนดสิทธิประโยชน์เบื้องต้น เช่น พิจารณาส่วนลดอัตราค่าเช่าพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม, จัดเวทีให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ให้แก่ผู้ประกอบการรายใหญ่และจัดแสดงสินค้าในงานกิจกรรมสำคัญของ กนอ. โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ที่ผ่านมา กนอ.ได้จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อกำหนดสิทธิประโยชน์และดำเนินการอื่นๆ ในการส่งเสริมสนับสนุนเอสเอ็มอี
นายภาสกร ชัยรัตน์
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.
2. สศอ. เผยดัชนี MPI ส.ค. 68 หดตัว 4.19% รับเงินบาทแข็งค่า-ยอดผลิตรถยนต์ลดลง (ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, ประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2568)
นายภาสกร ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนสิงหาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 92.13 หดตัวร้อยละ 4.19 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 57.19 ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกระแสเงินทุนไหลเข้าและทิศทางดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าส่งออกของไทยสูงขึ้นในตลาดโลก กระทบความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่มีราคาใกล้เคียงกัน รวมถึงมีโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ หยุดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ตามแผนประจำปี และผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่หยุดการผลิตชั่วคราวเพื่อปรับเปลี่ยนสายการผลิตไปติดตั้งใหม่ที่โรงงานอีกแห่งภายในประเทศ ขณะที่ นักท่องเที่ยวจากต่างประเทศชะลอตัว ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหารแช่แข็ง ไส้กรอก กระเป๋าเดินทาง รองเท้ากีฬา และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น ทั้งนี้ ทางด้านระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทย เดือนกันยายน 2568 “ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง” โดยปัจจัยภายในประเทศโดยรวมส่งสัญญาณปกติ จากการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ในกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ ด้านดัชนีการลงทุนภาคเอกชนของไทย ส่งสัญญาณเฝ้าระวังเพิ่มขึ้น ดัชนีปริมาณสินค้านำเข้า ส่งสัญญาณปกติ ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อและดัชนีราคาส่งออก ส่งสัญญาณขยายตัว ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศภาพรวมส่งสัญญาณเฝ้าระวังต่อเนื่อง จากภาคการผลิตที่ยังคงซบเซา และคำสั่งซื้อใหม่ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม จากการส่งออกสินค้าทุนและสินค้าเกษตรที่เติบโตต่อเนื่อง ทำให้ส่งสัญญาณเฝ้าระวังลดลง
อย่างไรก็ตาม สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลบวกต่อดัชนีผลผลิตเดือนสิงหาคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้าขั้นมูลฐาน ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 22.74 จากเหล็กแผ่นรีดร้อน ท่อเหล็กกล้า และเหล็กเส้นข้ออ้อย เป็นหลัก จากฐานต่ำในปีก่อนของผลิตภัณฑ์เหล็กแผ่นรีดร้อนที่มีผู้ผลิตบางรายหยุดซ่อมบำรุง สำหรับท่อเหล็กกล้า ผู้ผลิตขยายตลาดในประเทศและหาลูกค้าใหม่ ส่วนเหล็กเส้นข้ออ้อย ตลาดขยายตัวมากกว่าปีก่อนที่คำสั่งซื้อมีอย่างจำกัด คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 19.14 จาก Hard Disk Drive เป็นหลัก ตามการขยายตัวของระบบ AI ระบบคลาวด์ และ Data Center ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.42 จาก PCBA และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เป็นหลัก สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลลบต่อดัชนีผลผลิตเดือนสิงหาคม 2568 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.98 จากน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว น้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเบนซิน 91 และน้ำมันเบนซิน 95 เป็นหลัก จากผู้ผลิตบางรายหยุดซ่อมบำรุงโรงกลั่นครั้งใหญ่ ยานยนต์ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 8.09 จากรถบรรทุกปิคอัพ รถยนต์ไฮบริดไม่เกิน 1,800 ซีซี รถยนต์นั่งขนาดเล็ก และรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ เป็นหลัก เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ น้ำแร่และน้ำดื่มบรรจุขวดประเภทอื่นๆ หดตัวลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.58
นายพรยศ กลั่นกรอง
อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.)
3. จดทะเบียนเครื่องจักร ช่วย SMEs เข้าถึงแหล่งทุน 2.25 แสนล้าน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 29 กันยายน 2568)
นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า กรมโรงงานฯ ได้รับมอบหมายจากกระทรวงอุตสาหกรรม ให้เป็นหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนการส่งเสริมอุตสาหกรรมให้เข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งกรมโรงงานอุตสาหกรรมได้เสนอปรับปรุงหลักเกณฑ์อุตสาหกรรมสีเขียวให้สอดคล้องกับการดำเนินการตามนโยบายสากล ในเรื่องการลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม โดยเพิ่มข้อกำหนดเรื่อางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร (Carbon Footprint for Organization; CFO) และการจัดทำแผนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหลักเกณฑ์อุตสาหกรรมสีเขียว เพื่อส่งเสริมและยกระดับสถานประกอบการให้ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรม สอดคล้องกับเป้าหมายการลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมของประเทศ ทั้งนี้ กรมโรงงานฯ และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ด้วยอุตสาหกรรมสีเขียวและอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยภายใต้ความร่วมมือในครั้งนี้ จะเป็นการร่วมกันส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจัดทำรายงานคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรอย่างครอบคลุมตามข้อกำหนดการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวและอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร และการแลกเปลี่ยนความรู้ที่ช่วยสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมในระดับสากลต่อไป
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายปณตสรรค์ สูจยานนท์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรมโรงงานฯ ได้เดินหน้านโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนผ่านการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์และการจำนองเครื่องจักร จากข้อมูลสำนักงานทะเบียนเครื่องจักรกลาง (สจก.) ในช่วงวันที่ 1 ตุลาคม 2567 - 20 กันยายน 2568 มีผู้ประกอบการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรแล้ว 904 ราย รวมกว่า 4,574 เครื่อง มูลค่า 1.17 แสนล้านบาท และทำให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนรวมกว่า 2.25 แสนล้านบาท ผ่านกระบวนการการจำนองเครื่องจักร นอกจากนี้ กรมโรงงานฯ ยังสนับสนุนการใช้ "พลังงานสะอาด" โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการนำเครื่องจักรผลิตไฟฟ้าจาก พลังงานแสงอาทิตย์ เช่น Solar Cell และ Solar Rooftop มาจดทะเบียนเพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการขอสินเชื่อ ซึ่งได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งกรมโรงงานฯ ยังดำเนิน โครงการเร่งรัดการจดทะเบียนเครื่องจักร SMEs เพื่อให้คำแนะนำการปรับปรุงและเปลี่ยนเครื่องจักรเดิม เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ซึ่งตั้งแต่ปี 2559 ถึงปัจจุบัน มีผู้ประกอบการเข้าร่วมแล้วกว่า 570 ราย ครอบคลุมการตรวจวิเคราะห์เครื่องจักร 14,050 เครื่อง สร้างมูลค่าผลตอบแทนกว่า 1 พันล้านบาทต่อปี
ข่าวต่างประเทศ
4. PMI ภาคบริการญี่ปุ่นเดือนก.ย.ยังโตแกร่ง สวนทางภาคการผลิตซบเซา (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 3 ตุลาคม 2568)
S&P Global เปิดเผยผลสำรวจ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้าย ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 53.3 ในเดือนกันยายน 2568 จาก 53.1 ในเดือนสิงหาคม และนับเป็นเดือนที่ 11 ที่ดัชนีอยู่สูงกว่าระดับ 50.0 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตนี้ คือ ยอดสั่งซื้อใหม่ในประเทศที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สวนทางกับยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ลดลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ขณะเดียวกัน ภาคบริการยังมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพื่อรองรับยอดขายที่สูงขึ้น ด้านความเชื่อมั่นทางธุรกิจก็พุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 8 เดือน โดยผู้ประกอบการมีมุมมองที่เป็นบวกต่อแผนการขยายกิจการและการเปิดตัวสินค้าใหม่ ทั้งนี้ ถึงแม้อัตราการเพิ่มขึ้นของต้นทุนจะชะลอตัวลงบ้าง แต่บริษัทต่างๆ ยังคงเผชิญกับต้นทุนค่าแรง ค่าวัตถุดิบ และค่าเชื้อเพลิงที่อยู่ในระดับสูง ทำให้จำเป็นต้องผลักภาระไปยังผู้บริโภคด้วยการปรับขึ้นราคา ซึ่งเมื่อมองในภาพรวม เศรษฐกิจกลับไม่สดใสนัก โดยดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-ภาคบริการขั้นสุดท้ายของญี่ปุ่นได้ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 51.3 ในเดือนกันยายน จาก 52.0 ในเดือนสิงหาคม ถือเป็นการเติบโตในภาพรวมที่ชะลอตัวที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม โดยมีสาเหตุหลักมาจากการหดตัวอย่างหนักของภาคการผลิต
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนักเศรษฐศาสตร์จาก S&P Global Market Intelligence ให้ความเห็นว่า ผลสำรวจครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการเติบโตในปัจจุบันมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากอุปสงค์ในประเทศที่แข็งแกร่งขึ้น สังเกตได้จากทั้งผู้ประกอบการในภาคการผลิตและภาคบริการต่างก็มียอดสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)