ข่าวในประเทศ
นายธนกร วังบุญคงชนะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. "ธนกร" ตรวจเข้มนิคมฯ บางปะอิน สั่งเตรียมพร้อมขั้นสูงสุด ลั่น! "ไม่ซ้ำรอยอดีต" ปกป้องฐานผลิตแสนล้าน สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 10 ตุลาคม 2568)
นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้ลงพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน เพื่อตรวจติดตามการบริหารจัดการมาตรการป้องกันอุทกภัยของนิคมอุตสาหกรรม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวภายหลังรับฟังบรรยายสรุปและตรวจเขื่อนป้องกันน้ำท่วมของนิคมฯ บางปะอิน ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญสูงสุดกับการป้องกันผลกระทบจากอุทกภัย โดยเฉพาะในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ เราทุกคนต่างมีบทเรียนจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยในปี 2554 การลงพื้นที่ในวันนี้จึงไม่ใช่เพียงการตรวจเยี่ยม แต่เป็นการมา เพื่อสร้างความมั่นใจว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย ทั้งนี้ ได้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของนิคมฯ บางปะอิน ทั้งแนวคันดินคอนกรีตเสริมเหล็กที่ได้มาตรฐานสากล ระบบสูบน้ำขนาดใหญ่ และแผนเผชิญเหตุที่รัดกุม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความ ไม่ประมาทและการเตรียมตัวที่ดีเยี่ยม
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบนโยบายและสั่งการเพิ่มเติม ให้มีการบูรณาการข้อมูลสถานการณ์น้ำเป็นหนึ่งเดียว (Single Command) จัดทำช่องทางการสื่อสารฉุกเฉินที่เข้าถึงง่ายสำหรับ ผู้ประกอบการ และสนับสนุนการจัดตั้งเครือข่ายความ ร่วมมือระหว่าง 3 นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ใกล้เคียง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมนครหลวง นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน และนิคมอุตสาหกรรมบางหว้า (ไฮเทค) เพื่อแลกเปลี่ยนทรัพยากรและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในยามฉุกเฉิน ทั้งนี้ สำหรับสถานการณ์ปัจจุบันของ 3 นิคมฯ ดังกล่าว มีการเฝ้าระวังผ่านการพยากรณ์ปริมาณน้ำฝนสะสมจากแบบจำลองบรรยากาศ และปริมาณระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนพระรามหกสูงสุดย้อนหลัง 3 ปี เปรียบเทียบกับปัจจุบันอยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยได้กำหนดเกณฑ์เตือนภัยเป็น 4 ระดับ คือ ระดับปกติ ธงสีเขียว ระดับเฝ้าระวังธงสีเหลือง ระดับเสี่ยงธงสีส้ม และระดับวิกฤตธงสีแดง มั่นใจว่าปีนี้น้ำจะไม่ท่วมนิคมฯ แน่นอน
นายดุสิต อนันตรักษ์
รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
2. พัฒนายานยนต์พลังงานใหม่ อุตฯ ยกทีมร่วมวงประชุม WNEVC แลกเปลี่ยนข้อมูล (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 6 ตุลาคม 2568)
นายดุสิต อนันตรักษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) พร้อมด้วย สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) สถาบันยานยนต์ เข้าร่วมงาน 2025 World New Energy Vehicle Congress (WNEVC) หรือการประชุมยานยนต์พลังงานใหม่ระดับโลก ประจำปี 2025 ณ เมืองไห่โข่ว มณฑลไห่หนาน เมื่อวันที่ 27-29 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา สำหรับงาน 2025 World New Energy Vehicle Congress (WNEVC) จัดโดย China Association for Science and Technology และ รัฐบาลมณฑลไหหลำ (ไห่หนาน) เพื่อสร้างฉันทามติและกระชับความร่วมมือผ่านการสนทนาและแลกเปลี่ยนในการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ในระดับโลกผ่านการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในภูมิภาค อีกทั้ง ยังเป็นเวทีแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี นวัตกรรม และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์พลังงานใหม่ ปีนี้มีหัวข้อหลักคือ "การเปลี่ยนแปลงทางอุตสาหกรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน" เพื่อรวบรวมผู้กำหนดนโยบายผู้นำในอุตสาหกรรมและนักวิจัยจากทั่วโลก เพื่อส่งเสริมความร่วมมือนวัตกรรมและการเปลี่ยนผ่านสู่การเคลื่อนที่สีเขียวและอัจฉริยะ ทั้งนี้ คณะผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรมได้เข้าร่วมการประชุมในเรื่อง Sustainable Development and Global Cooperation in the Automotive Industry เจ้าภาพได้เชิญผู้ผลิตรถยนต์ค่ายเยอรมัน ญี่ปุ่น และจีน รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ สถาบัน และมหาวิทยาลัย มาร่วมแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและอัปเดตเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ใช้ในรถยนต์แห่งอนาคต นวัตกรรมเหล่านี้จะส่งผลกระทบต่อ Supply Chain และ Eco System ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันจึงต้องปรับตัวและต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Stakeholders) ในประเทศและระดับสากล นอกจากนี้ ยังมีการประชุมใหญ่เรื่อง Joint Efforts for Technology Innovation โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้นำเสนอเรื่อง Thailand's Strategic Roadmap for New Energy Vehicle and Supply Chain Development เนื้อหาหลักจะกล่าวถึง ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่มีจุดแข็งด้าน Supply Chain ทั้งผู้ผลิตชิ้นส่วนและอุตสาหกรรมต้นน้ำที่สามารถสนับสนุนการขับเคลื่อนและปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในช่วง 4-5 ปีนี้ผู้ผลิตรถยนต์ค่ายจีนได้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์เพื่อการส่งออกไปยังตลาดอาเซียน ยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ส่งผลให้ BEV เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงปี 2020-2024 ซึ่ง 80% เป็นรถไฟฟ้าจากค่ายจีน
อย่างไรก็ตาม สำหรับทิศทางนโยบายของไทยได้มุ่งเน้นให้การส่งเสริมการผลิตยานยนต์มลพิษต่ำ การสร้างห่วงโซ่อุปทานและโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ เพื่อรองรับการวิจัยพัฒนาและการผลิตยานยนต์สมัยใหม่ในไทยตามนโยบาย 30@30 ของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ควบคู่กับการปรับเปลี่ยนฐานการผลิตในปัจจุบันที่ยังเป็นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ไปสู่ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า (xEV) ต่อไป
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ
ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
3. กนอ.ปลื้มโรงงานในนิคมฯ มูลค่าเศรษฐกิจ 8.62 แสนล. (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2568)
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยในงานแถลงผลลัพธ์เชิงสังคมครั้งสำคัญ "I-EA-T IMPACT 2025" ภายใต้แนวคิด "เชื่อมโยงคุณค่า สู่อนาคตยั่งยืน" (Connecting Social Value to a Sustainable Future) ว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมในยุคปัจจุบันไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ต้องสอดคล้องกับคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นอีกก้าวสำคัญของการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมไทยสู่มาตรฐานโลก ที่ไม่ได้วัดเพียงผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ แต่ยังสะท้อนถึงคุณค่าทางสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ส่งมอบให้แก่ประเทศและประชาชน ทั้งนี้ สำหรับโครงการนำร่องในปี 2568 ครอบคลุม 14 นิคมอุตสาหกรรมและ 1 ท่าเรืออุตสาหกรรม ที่ กนอ.บริหารงานเอง ผลลัพธ์ที่ได้สะท้อนถึงความสำเร็จในหลายมิติ ดังนี้ มิติเศรษฐกิจ เครื่องยนต์สร้างโอกาส จากการดำเนินงานของ 1,344 โรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ 15 แห่ง สามารถประเมินโอกาสมูลค่าทางเศรษฐกิจได้รวมกว่า 862,581 ล้านบาท สร้างงาน 306,070 ตำแหน่ง กระจายโอกาสสู่แรงงานไทยทั่วประเทศ เครือข่ายคู่ค้า 130,105 ราย สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ขณะที่มิติสังคมจากโรงงานสู่พันธมิตรชุมชน มีโครงการเพื่อชุมชน 3,103 โครงการ ครอบคลุมการพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา สุขภาพ และสิ่งแวดล้อม สร้างมูลค่าทางสังคม 12,560 ล้านบาท ยกระดับวิสาหกิจชุมชน 405 กลุ่ม กระจายใน 11 จังหวัด สร้างรายได้และความเข้มแข็งให้ชุมชนฐานราก อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ยังมีมิติความปลอดภัยและมิติสิ่งแวดล้อม
ข่าวต่างประเทศ
4. ผลผลิตอุตสาหกรรมเยอรมนีเดือนส.ค. ร่วง 4.3% MoM หนักกว่าคาด (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 9 ตุลาคม 2568)
สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนี เปิดเผยว่า ผลผลิตอุตสาหกรรมของเยอรมนีในเดือนสิงหาคม 2568 ลดลง 4.3% จากเดือนก่อนหน้า มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงเพียง 1.0% สาเหตุหลักมาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งผลิตรถยนต์ได้น้อยลงอย่างมาก ทั้งนี้ เมื่อดูข้อมูลเปรียบเทียบระยะ 3 เดือน ซึ่งเป็นตัวชี้วัดที่มีความผันผวนน้อยกว่า พบว่า ผลผลิตช่วงเดือนมิถุนายน - สิงหาคม 2568 ลดลงจากช่วง 3 เดือนก่อนหน้านั้นอยู่ 1.3%
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมยานยนต์ ถือเป็นภาคส่วนที่ใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมเยอรมนี โดยสำนักงานสถิติฯ ชี้ว่า เฉพาะอุตสาหกรรมนี้มีผลผลิตลดลงถึง 18.5% จากเดือนก่อนหน้า สาเหตุมาจากหลายโรงงานปิดทำการประจำปีในช่วงวันหยุดงาน และบางส่วนก็มีการปรับเปลี่ยนสายการผลิตไปพร้อมกัน
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)