ข่าวในประเทศ
นายธนกร วังบุญคงชนะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. 'ธนกร' รมว.อุตฯ เร่งเครื่อง SME ไทย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 29 ตุลาคม 2568)
นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย มุ่งเน้นการสร้างรายได้ ลดรายจ่ายให้กับพี่น้องประชาชน โดยการขับเคลื่อนมาตรการ Quick Big Win ผ่านกลไกคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจ หรือ ครม.เศรษฐกิจ ซึ่งดำเนินการบน 5 เสาหลัก "กระตุ้นสั้น ได้ผลยาว กระจายตัว" ได้แก่ 1. กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว 2. ลดภาระหนี้ประชาชน 3. เพิ่มสภาพคล่องให้ SME 4. เพิ่มการออมของประชาชน และ 5. ส่งเสริม ารลงทุนเพื่ออนาคต รวมถึงการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน ทั้งในเรื่องหนี้สิน และการเสริมสภาพคล่อง พร้อมเดินหน้าโครงการ "คนละครึ่งพลัส" หนุนเศรษฐกิจฐานรากและกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น โดยกระทรวงมีหน้าที่ในการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการโดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่มีบทบาทต่อการเติบโตและเป็นฟันเฟืองในการ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เพราะเป็นธุรกิจของผู้ประกอบการรายย่อย ที่ทำให้เกิดการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น จึงได้กำหนดและขับเคลื่อนนโยบาย 'ฝ่า ฟัน ดึง ดัน' สร้างเศรษฐกิจมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ทั้งนี้ ปัจจุบันกระทรวงจึงเร่งดำเนินมาตรการส่งเสริม SME ในหลากหลายมาตรการ อาทิ การเสริมสภาพคล่องโดยธนาคารเพื่อรัฐวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และกองทุนเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ซึ่งมีภารกิจสำคัญในการสนับสนุนให้ความช่วยเหลือและเพิ่มช่องทาง การเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้กับ SME เพื่อการส่งเสริมและพัฒนา SME ให้มีศักยภาพและขีดความสามารถสูงขึ้น ตลอดจนสนับสนุนและดำเนินงานอื่นๆ ที่เป็นการแก้ไขปัญหาและพัฒนา SME ไทย ภายใต้กิจกรรมหลัก 2 ด้าน คือ ด้านที่ 1. การสนับสนุนด้านสินเชื่อแก่ SME เพื่อเป็นเงินให้กู้ยืมและให้ความช่วยเหลือในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจการ สินค้า บริการ หรือเงินทุนหมุนเวียนในกิจการให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น และด้านที่ 2. การ ส่งเสริมและพัฒนา SME ให้สามารถพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ และต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้กับพี่น้องประชาชน ควบคู่กับการรับมือปัญหาเร่งด่วนจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีตอบโต้ เร่งช่วยเหลือ SME ที่ได้รับผลกระทบ เสริมสภาพคล่องด้วยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ปกป้องจากการทุ่มตลาด และยกระดับระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าแบบดิจิทัล เพื่อให้แข่งขันได้อย่างโปร่งใสและยั่งยืน พร้อมวางรากฐานธุรกิจขนาดเล็กพัฒนาสู่อุตสาหกรรมอนาคต สนับสนุน SMEs เข้าถึงเทคโนโลยีและพัฒนาทักษะแรงงาน ผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย ซึ่งไม่เพียงแค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่จะสร้างอนาคตใหม่ให้กับอุตสาหกรรมและ SME ไทยให้สามารถแข่งขันในระดับโลก สร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน และยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนอย่างเท่าเทียม
นายศุภกิจ บุญศิริ
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)
2. ดัชนี MPI ก.ย. ขยับแค่ 1% ภาคอุตฯ ห่วงหลากปัจจัยลบผลิตแค่ 50% (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2568)
นายศุภกิจ บุญศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกันยายน 2568 อยู่ที่ระดับ 94.56 ขยายตัว 1.02% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 58.13% เนื่องจากยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น การผลิตรถยนต์กลับมาขยายตัวอีกครั้งอยู่ที่ 5.57% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงการท่องเที่ยวของคนในประเทศขยายตัวเนื่องจากโครงการเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การปรับลด ค่าไฟฟ้าและโครงการคุณสู้เราช่วยเฟส 2 เป็นต้น ขณะที่ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ระดับ 93.36 หดตัว 2.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 57.39% สำหรับปัจจัยที่กดดันภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ ความกังวลเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ ถึงแม้ว่าจะมีความชัดเจนเรื่องภาษีตอบโต้ที่สหรัฐฯ เรียกเก็บเพิ่มเติมจากไทยที่ 19% แต่สหรัฐฯ ยังมีการทบทวน เก็บภาษีนำเข้ารายสินค้าเพิ่มเติมในกลุ่มสินค้าไม้ ยา เฟอร์นิเจอร์ และรถบรรทุกขนาดใหญ่ ด้านค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จากกระแสเงินทุนไหลเข้าและทิศทางดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ ส่งผลให้ต้นทุนสินค้าส่งออกของไทยสูงขึ้นในตลาดโลก กระทบความสามารถทางการแข่งขันด้านราคาของสินค้าส่งออกเมื่อเทียบกับคู่แข่งที่มีราคาใกล้เคียงกัน โดยอุตสาหกรรมที่มีสัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบน้อยและมีสัดส่วนการส่งออกมาก เป็นกลุ่มที่มีการใช้วัตถุดิบในประเทศ เป็นหลักและมีการส่งออกมาก จึงได้รับผลกระทบจากรายรับจากการส่งออกที่น้อยลง รวมถึงการท่องเที่ยวจากต่างประเทศลดลงต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น อาหารแช่แข็ง ไส้กรอก กระเป๋าเดินทาง รองเท้ากีฬา และเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เป็นต้น ทั้งนี้ ทางด้านระบบการเตือนภัยด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมภาพรวมของไทย เดือนตุลาคม 2568 "ส่งสัญญาณเฝ้าระวัง" โดยปัจจัยในประเทศโดยรวมส่งสัญญาณเฝ้าระวัง จากการลงทุนภาคเอกชนและความเชื่อมั่นด้านคำสั่งซื้อที่ปรับตัวลดลง ด้านปัจจัยต่างประเทศส่งสัญญาณเฝ้าระวังลดลง จากภาคการผลิตในภูมิภาคอาเซียนเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวและการผลิตปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย โดยภาคการผลิตของสหภาพยุโรปยังคงซบเซา
อย่างไรก็ตาม ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติดำเนินโครงการ "คนละครึ่งพลัส" เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี 2568 และแบ่งเบา ภาระค่าครองชีพของประชาชน ในส่วนของการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคและบริโภคจะมีกลุ่มสินค้าและบริการที่สามารถใช้จ่ายในโครงการคนละครึ่ง ได้แก่ อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป บริการนวด สปา ทำเล็บ ทำผม บริการขนส่งสาธารณะ รวมถึงซื้ออาหารและเครื่องดื่ม ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุปสงค์ของสินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น ในเบื้องต้น สศอ. ประเมินว่า ภาคอุตสาหกรรมจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว โดยคาดว่า GDP ภาคอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นประมาณ 0.1% หรือขยายตัวประมาณ 15,000 ล้านบาท
นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา
อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM)
3. ดีพร้อมจัดสินเชื่อเติมสภาพคล่องเอสเอ็มอี (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2568)
นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) เปิดเผยว่า ในช่วงปลายปีมีผู้ผลิตและผู้ประกอบการเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมาก จัดเตรียมสำรองวัตถุดิบเพื่อรองรับการผลิตตามคำสั่งซื้อที่จะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเทศกาล อาทิ ขึ้นปีใหม่ ตรุษจีน วาเลนไทน์ สงกรานต์ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีเงินทุนหมุนเวียนเพื่อใช้ในการสำรองวัตถุดิบล่วงหน้า เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะผลิตสินค้าส่งได้ทันเวลาตามที่ระบุในใบคำสั่งซื้อ โดยดีพร้อมออกผลิตภัณฑ์ใหม่ "สินเชื่อเงินทุนหมุนไว ไฮซีซั่น หรือ เงินไว by DIPROM" เพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชนนำไปใช้ในการจัดซื้อวัตถุดิบรองรับการผลิต การจัดเตรียม หรือการเพิ่มสต็อกสินค้าให้พร้อมขาย สำหรับธุรกิจที่มีรอบการขายตามฤดูกาล หรือได้รับคำสั่งซื้อจำนวนมากในช่วงเทศกาล (HIGH SEASON) ดังกล่าว ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการผลักดันและกระตุ้นเศรษฐกิจของกระทรวงอุตสาหกรรมตามนโยบายของนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และสอดรับกับการขับเคลื่อน Quick Big Win ของรัฐบาล ทั้งนี้ สำหรับคุณสมบัติของผู้ประกอบการที่ประสงค์ขอรับบริการ "เงินไว by DIPROM" คือ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการรายย่อยที่ประกอบอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย ดำเนินธุรกิจมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี ที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิต หรืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องจากภาคการผลิต ยื่นขอกู้วงเงินสูงสุดได้ไม่เกิน 200,000 บาท พร้อมใช้บุคคลค้ำประกัน หรือหนังสือรับรองตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ผ่อนชำระภายในระยะเวลา 2 ปี (24 งวด) ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 50 สตางค์ต่อเดือน และสูงสุดไม่เกิน 6% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม สำหรับสินเชื่อเงินทุนหมุนไว นอกจากเป็นการให้โอกาสผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการรับคำสั่งซื้อขนาดใหญ่ หรือซื้อวัตถุดิบในราคาพิเศษได้ทันท่วงทีในช่วงฤดูเทศกาลที่กำลังจะมาถึงตั้งแต่ขึ้นปีใหม่ ตรุษจีน วาเลนไทน์ และสงกรานต์ ยังเป็นการสร้างให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ พร้อมกันนี้ ยังมีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการรายย่อยปรับตัวเข้าสู่กระบวนการ Digital Payment ผ่านโครงการคนละครึ่งพลัสของรัฐบาล โดยจะมุ่งเน้นการกระตุ้นสั้น แต่ได้ผลยาว พร้อมทั้งช่วยเพิ่มรายได้ให้แก่คนในชุมชนตามนโยบาย "ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้"
ข่าวต่างประเทศ
4. ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือนก.ย. ฟื้นตัวครั้งแรกรอบ 3 เดือน (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2568)
กระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนกันยายน 2568 ปรับตัวขึ้น 2.2% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน โดยได้แรงหนุนจากการผลิตเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งตัวเลขของเดือนกันยายน สะท้อนให้เห็นว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นพลิกกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง หลังจากที่ลดลง 1.5% ในเดือนสิงหาคม ทั้งนี้ ทางกระทรวงฯ ยังคงระดับการประเมินพื้นฐานของเดือนกันยายนไว้เท่ากับเดือนสิงหาคม โดยระบุว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม "มีความผันผวนและไม่แน่นอน" โดยดัชนีการผลิตในโรงงานและเหมืองแร่ที่ปรับค่าตามฤดูกาลแล้ว อยู่ที่ระดับ 102.8 เทียบกับฐาน 100 ในปี 2563 ส่วนดัชนีการขนส่งในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.7% แตะระดับ 100.2 และดัชนีสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น 0.5% แตะระดับ 99.6
อย่างไรก็ตาม สำหรับ 13 ภาคส่วน เช่น ผลิตภัณฑ์โลหะ รวมถึงเคมีภัณฑ์อนินทรีย์และอินทรีย์ มีการผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่ 2 ภาคส่วน ได้แก่ อุปกรณ์การขนส่งซึ่งไม่นับรวมยานยนต์ และเหล็กและโลหะที่ไม่มีเหล็กผสมมีการผลิตลดลง นอกจากนี้ หลังจากที่ได้ทำการสำรวจความเห็นของกลุ่มผู้ผลิตแล้ว ทางกระทรวงฯ คาดการณ์ว่าผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม จะเพิ่มขึ้น 1.9% ก่อนที่จะปรับตัวลง 0.9% ในเดือนพฤศจิกายน
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)