ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ที่ 1 ของเดือนพฤศจิกายน 2568

ข่าวในประเทศ

A person in a blue suit

AI-generated content may be incorrect.

นายธนกร วังบุญคงชนะ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. "รมว.ธนกร" เยือน "ชัยเสรี" ชูศักยภาพอุตสาหกรรมป้องกันประเทศS-Curve ใหม่ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568)

นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมคณะผู้บริหาร เปิดเผยว่า ได้ลงพื้นที่ตรวจราชการ ณ บริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด จังหวัดปทุมธานี เพื่อติดตามความคืบหน้าการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ พร้อมผลักดันศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้เป็นไปตามพันธกิจของกระทรวงฯ ในการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้แข่งขันได้ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม "อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ" เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (New S-Curve) ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์สองทาง (Dual-Use) อย่างยานยนต์หุ้มเกราะซึ่งสามารถใช้งานได้ ทั้งในมิติความมั่นคงและเชิงเศรษฐกิจ โดยในระหว่างการเยี่ยมชม ฟังการบรรยายสรุปจากคณะผู้บริหาร และได้เยี่ยมชมกระบวนการผลิตต่างๆ ภายในโรงงาน อาทิ การผลิตโครงสร้างและชิ้นส่วนรถหุ้มเกราะ การประกอบรถ และชมยานเกราะที่เตรียมส่งมอบให้แก่ลูกค้า ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเรามีศักยภาพในการผลิตและจำหน่ายยานยนต์หุ้มเกราะในตลาดโลก ซึ่งบริษัท ชัยเสรีฯ ถือเป็นตัวอย่างที่ยอดเยี่ยมของการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกับนโยบาย 'Made in Thailand' และเป็นความภูมิใจของคนไทย

อย่างไรก็ตาม สำหรับบริษัท ชัยเสรี เม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด เป็นบริษัทสัญชาติไทย 100% ที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศมาอย่างยาวนานกว่า 57 ปี และส่งออกผลิตภัณฑ์ไปแล้วกว่า 46 ประเทศทั่วโลก ธุรกิจหลักของบริษัทฯ ครอบคลุม 3 ด้าน คือ 1. ยานเกราะ (Armor Vehicle) วิจัย พัฒนา และผลิตยานเกราะล้อยางหลากหลายรุ่น 2. ซ่อมบำรุงและปรับปรุง (MRO/Modernization) ยานเกราะและยานยนต์ทางทหาร และ 3. สายพานและยางรันแฟลต (Track/Run flat) ผลิตสายพานสำหรับยานเกราะและยางรันแฟลตโดยใช้ยางพาราในประเทศเป็นวัตถุดิบ และ บริษัทฯ ยังได้รับการรับรองทั้ง ISO 9001, ISO 14000 และ ISO 45000 รวมถึงได้รับรางวัลอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) และรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น (Prime Minister's Export Award) ในปี 2023 ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงคุณภาพและมาตรฐานการผลิตที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ

 

A person sitting at a desk

AI-generated content may be incorrect.

จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

2. ยศสิงห์ ผนึก เดลต้า เปิดตัว ‘DIPROM–DELTA Angel Fund’ ปั้นสตาร์ทอัพไทยสู่ตลาดจริง ‘คนไทยไม่แพ้ใครในโลก’ (ที่มา: The Standard, ประจำวันที่ 3 พฤศจิกายน 2568)

กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม: DIPROM) จับมือ บริษัท เดลต้า อิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการ ‘DIPROM – DELTA Angel Fund’ เดินหน้าหนุนสตาร์ทอัพไทยจากไอเดียสู่นวัตกรรมเชิงพาณิชย์ ผ่านการเข้าถึงแหล่งทุน การพิสูจน์ในตลาดจริง และการเชื่อมโยงเครือข่ายนักลงทุน สำหรับการแถลงข่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยมี จ่าเอก ยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน พร้อมด้วย ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม, ณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม และวิคเตอร์ เจิ้ง ซีอีโอเดลต้า อิเล็กทรอนิกส์ ร่วมแสดงวิสัยทัศน์ทั้งนี้ จ่าเอก ยศสิงห์ กล่าวภายในงานว่า สิ่งที่ประเทศไทยไม่เคยขาดคือศักยภาพของคน แต่ที่ขาดคือระบบสนับสนุนที่มั่นคง วันนี้เราทำให้โครงสร้างนั้นเกิดขึ้นจริง รัฐ – เอกชนต้องเดินไปด้วยกัน เพื่อพิสูจน์ว่าสตาร์ทอัพไทยไม่แพ้ใครในโลก ปีนี้นับเป็นปีที่ 10 ของโครงการ ซึ่งต่อยอดผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพไทยด้วย 3 กลยุทธ์หลัก 1. ขยายตลาดผ่านคอนเทนต์ครีเอเตอร์ เชื่อมเทคโนโลยีกับการสื่อสาร 2. พิสูจน์นวัตกรรมในสนามจริง (Proof of Concept) ผ่านเครือข่ายตลาดรัฐ – เอกชน และ3. เชื่อมโยงสู่แหล่งทุนและนักลงทุนระดับประเทศ

อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 50 ทีม ครอบคลุม 12 สาขาอุตสาหกรรมอนาคต เช่น หุ่นยนต์ ดิจิทัล เกษตรสมัยใหม่ เทคโนโลยีชีวภาพ และการแพทย์ครบวงจร โดย เดลต้า มอบทุนสนับสนุน 31 รางวัล รวมมูลค่า 5 ล้านบาท เพื่อพัฒนาและทดลองใช้จริงในตลาด ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา โครงการนี้ได้ผลักดันสตาร์ทอัพไทยแล้วกว่า 237 ราย ด้วยมูลค่ารวมกว่า 38 ล้านบาท สะท้อนพลังของความร่วมมือรัฐ – เอกชนที่สร้างระบบนิเวศนวัตกรรมได้อย่างเป็นรูปธรรม วิคเตอร์ เจิ้ง ซีอีโอเดลต้า กล่าวปิดท้ายว่า“เดลต้าพร้อมแบ่งปันองค์ความรู้ เครือข่าย และโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เพื่อช่วยให้สตาร์ทอัพไทยยกระดับผลิตภัณฑ์และเข้าถึงนักลงทุนได้รวดเร็วขึ้น”

 

A person in a suit sitting at a microphone

AI-generated content may be incorrect.

นายพรยศ กลั่นกรอง

อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.)

 

3. 'กรอ.' เพิกถอนโรงงานสีเขียว 15 แห่ง เซ่นทำผิดถูกคำสั่งม.39 หยุดชั่วครา(ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 4 พฤศจิกายน 2568)

นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจาก นายธีรทัศน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองอธิบดี กรอ. หลังมอบหมายให้เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการส่งเสริมและรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ครั้งที่ 6/2568 เพื่อพิจารณาให้การรับรองสถานประกอบการที่ได้รับการตรวจประเมินอุตสาหกรรมสีเขียว (GI : Green Industry) ระดับที่ 4 วัฒนธรรมสีเขียว และระดับที่ 5 เครือข่ายสีเขียว ซึ่งที่ประชุม  มีมติเห็นชอบให้การรับรองสถานประกอบการที่ดำเนินการตามข้อกำหนดอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 และระดับที่ 5 จำนวน 41 โรงงาน แบ่งเป็น 1. สถานประกอบการที่ได้รับการตรวจประเมินอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 5 จำนวน 15 โรงงาน 2. สถานประกอบการที่ได้รับการตรวจประเมินอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 จำนวน 1 โรงงาน 3. สถานประกอบการที่ได้รับการเทียบระดับอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 จากมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco Factory) จำนวน 16 โรงงาน และ 4. สถานประกอบการที่ได้รับการเทียบระดับอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 จากมาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมของผู้ประกอบการ (CSR-DIW) ร่วมกับ ISO 14001 จำนวน 9 โรงงาน

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการเพิกถอนการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวของโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งถูกคำสั่งมาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 สั่งหยุดประกอบการชั่วคราว ทั้งสิ้น 15 โรงงาน ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการเพิกถอนการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวที่คณะอนุกรรมการส่งเสริมและรับรองอุตสาหกรรมสีเขียวกำหนด และนโยบายของ นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

 

ข่าวต่างประเทศ

A red flag with a yellow star

AI-generated content may be incorrect.

 

4. ส่งออกเวียดนามไปสหรัฐร่วงต่อเนื่อง (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 7 พฤศจิกายน 2568)

สำนักงานสถิติแห่งชาติของเวียดนาม เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้าโดยรวมของเวียดนามในเดือนตุลาคม 2568 ลดลง 1.5% จากเดือนกันยายน โดยมีมูลค่าอยู่ที่ราว 42,050 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ การนำเข้าลดลง 1% อยู่ที่ 39,450 ล้านดอลลาร์ ส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐลดลงราว 2.2% อยู่ที่ 13,400 ล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน โดยเกิดขึ้นขณะที่เวียดนาม ซึ่งพึ่งพาการค้าเป็นอย่างมาก กำลังปรับตัวรับมือมาตรการภาษีของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ ที่ตั้งกำแพงภาษีสินค้าเวียดนามสูงถึง 20% ทั้งนี้ การส่งออกทั้งหมดของเวียดนามในเดือนตุลาคมนี้ยังสูงกว่าปีที่แล้ว โดยอยู่ที่ 17.5% ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้น 16.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจเวียดนาม เนื่องจากมีข้อตกลงการค้ากับประเทศคู่ค้าทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือได้รับผลกระทบมากที่สุดในบรรดากลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐ โดยการส่งออกโทรศัพท์จากเวียดนามไปสหรัฐในเดือนตุลาคม ลดลง 15.2% เมื่อเทียบกับเดือนกันยายน แม้ว่าภาคอุตสาหกรรมนี้จะได้รับการยกเว้นภาษีสหรัฐที่สูงขึ้นก็ตาม ส่วนการส่งออกสิ่งทอและเสื้อผ้าไปสหรัฐลดลง 7% แต่  การส่งออกรองเท้าเพิ่มขึ้น 15% ซึ่งช่วยชดเชยการส่งออกที่ลดลงในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)