ข่าวในประเทศ
นายธนกร วังบุญคงชนะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. 'ธนกร' มอบ 'SME D Bank' จัดมหกรรม 'ฝ่าฟัน ดัน SMEs สู่แหล่งทุน' ประเดิมร้อยเอ็ดจังหวัดแรก (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568)
นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้เป็นประธานเปิดงาน "ฝ่าฟัน ดัน SMEs สู่แหล่งทุน" ซึ่งจัดโดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ภายใต้นโยบาย "ฝ่า ฟัน ดึง ดัน" และ "Quick Big Win" ของรัฐบาล ด้วยการนำบริการ "3 เติม" เข้าถึงผู้ประกอบการในภูมิภาคอย่างเต็มที่ พร้อมมอบทุนสนับสนุนกว่า 60 ล้านบาท ณ โรงแรม The Hi Palace จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีนางสาวพลอยลภัสร์ สิงโตทอง ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายฐาปกรณ์ กุลเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม, นายชัชวาลย์ เบญจสิริวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด, นายเดชา จาตุธนานันท์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการ SME D Bank, นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ SME D Bank, นางบุญนิธิ ทองรักษ์ อุตสาหกรรมจังหวัดร้อยเอ็ด และคณะผู้บริหารระดับสูง ร่วมให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจ สงครามการค้า และมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อ SME กระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งเน้นการให้ความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง โดยเฉพาะในส่วนภูมิภาค จึงมอบนโยบายให้ SME D Bank จัดมหกรรมนี้ขึ้นเพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการกระจายความช่วยเหลือด้านการเงิน การพัฒนา และการแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืนในต่างจังหวัด โดยนำร่องที่จังหวัดร้อยเอ็ด
อย่างไรก็ตาม ทางาด้าน นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวว่า มหกรรมนี้เป็นการต่อยอดจากการเปิด "ศูนย์ฝ่าฟัน ดัน SMEs" เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 ให้การสนับสนุน SME ในรูปแบบ On-site โดยร้อยเอ็ดเป็นแห่งแรกจากทั้งหมด 4 จังหวัด ที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม 2568 เพื่อเพิ่มโอกาสให้ SME เข้าถึงแหล่งทุนอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ด้วยบริการ "3 เติม" หัวใจหลักในการช่วยเหลือภายในงาน ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงบริการสำคัญ "3 เติม" ที่ SME D Bank นำมาให้บริการแบบครบวงจร ได้แก่ เติมทุน เติมความรู้ และเติมโอกาส นอกจากนี้ ภายในงานยังมีการมอบป้ายสินเชื่อ และการออกบูธให้คำปรึกษาจากหน่วยงานพันธมิตร เช่น สสว., อุตสาหกรรมจังหวัด, พาณิชย์จังหวัด และเครดิตบูโร รวมถึงบูธจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าจากผู้ประกอบการท้องถิ่น เช่น ทรัพย์แสนบุญ, KULA BEEF และกลุ่มอารยะฟาร์ม ฯลฯ
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
2. “เอกนิติ” นำทัพบีโอไอ โรดโชว์ญี่ปุ่น สร้างความเชื่อมั่นดึงอุตฯ ไฮเทค (ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, ประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568)
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 27-29 พฤศจิกายน 2568 นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะนำคณะบีโอไอเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ นับเป็นการเดินทางโรดโชว์ส่งเสริมการลงทุนกับประเทศผู้ลงทุน รายใหญ่เป็นประเทศแรกหลังเข้ารับตำแหน่ง โดยบีโอไอร่วมกับธนาคาร SMBC และพันธมิตรภาคธุรกิจญี่ปุ่น จัดสัมมนาใหญ่ “Thailand-Japan Investment Forum 2025” ณ Tokyo Kaikan กรุงโตเกียว เพื่อนำเสนอทิศทางนโยบายของรัฐบาลและมาตรการต่างๆ เพื่อส่งเสริมศักยภาพของไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนของภูมิภาค ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมถึงโอกาสการลงทุนในสาขาต่างๆ และปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในประเทศไทย โดยขณะนี้มีนักลงทุนและผู้บริหารบริษัทชั้นนำของญี่ปุ่นลงทะเบียนเข้าร่วมงานแล้วมากกว่า 400 ราย ซึ่งภายในงานสัมมนา รองนายกรัฐมนตรีจะนำเสนอนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ในขณะที่เลขาธิการบีโอไอ จะชี้ให้เห็นถึงโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย รวมถึงสิทธิประโยชน์และมาตรการสนับสนุนจากบีโอไอ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุนญี่ปุ่น นอกจากนี้ คณะรัฐบาลไทยจะพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม (METI) เพื่อหารือความร่วมมือด้านการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ญี่ปุ่นมีความเชี่ยวชาญ และการพัฒนาพลังงานใหม่ รวมถึงแนวทางสร้างความร่วมมือเพื่อรักษาฐานการลงทุนของนักลงทุนญี่ปุ่นในประเทศไทยให้มั่นคง และสามารถพัฒนาต่อไปได้ในอนาคต ท่ามกลางความท้าทายและความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นถือเป็นพันธมิตรสำคัญและมีบทบาทในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมายาวนาน ทั้งด้านการค้า การลงทุน การพัฒนาอุตสาหกรรม และเป็นประเทศที่มีเงินลงทุนสะสมมากที่สุดในประเทศไทย การจัดโรดโชว์ครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญ คือ การสร้างความมั่นใจว่ารัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุนนักลงทุนญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งกลุ่มที่มีฐานอยู่ในไทยแล้วและกลุ่มที่กำลังตัดสินใจโยกย้ายฐานการผลิต อีกทั้งจะยกระดับความร่วมมือในการต่อยอดอุตสาหกรรมที่ญี่ปุ่นเป็นผู้นำในปัจจุบัน ไปสู่อุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ พลังงานใหม่ รวมถึงการดึงการลงทุนจากกลุ่ม SMEs และ Startup ของญี่ปุ่น ซึ่งมีศักยภาพที่จะออกไปลงทุนในต่างประเทศ โดยที่ผ่านมาญี่ปุ่นยังมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2563 –9 เดือน 2568) ญี่ปุ่นได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน จำนวน 1,493 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 4.2 แสนล้านบาท ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี ยานยนต์และชิ้นส่วน โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มูลค่าขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว จาก 35,469 ล้านบาท เพิ่มเป็น 73,754 ล้านบาท
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
3. ต.ต.ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯ ร่วงต่อ ลูกค้ามีคำสั่งซื้อลดลง-สินค้าจีนทะลัก (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568)
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนตุลาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 87.3 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากระดับ 87.8 ในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งการปรับลดลงดังกล่าว เป็นผลมาจากหลายปัจจัย เช่น การส่งออกสินค้าคงทนปรับตัวลดลง โดยเฉพาะในหมวดรถยนต์สันดาป และเครื่องปรับอากาศ จากอุปสงค์ที่ชะลอตัวในตลาดออสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา รวมถึงผลิตภัณฑ์ไม้ในตลาดจีน และมาเลเซีย ที่มีคำสั่งซื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ปัญหาการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางของสหรัฐฯ ยังเป็นอีกปัจจัยเสี่ยงที่คาดว่าจะส่งผลให้ GDP ของประเทศลดลงประมาณ 0.1% ต่อสัปดาห์ คิดเป็นมูลค่าราว 7 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐฯ โดยรวม นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้าจากจีน ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงเดือนมกราคม - กันยายน 2568 เพิ่มขึ้นถึง 33.49% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ส่งผลกระทบต่อยอดขายของผู้ผลิตในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน (+9.78%) เหล็ก (+9.23%) และพลาสติก (+16.28%) รวมทั้งความกังวลต่อสถานการณ์น้ำ และอุทกภัยที่ขยายวงกว้างในหลายพื้นที่ ยังคงส่งผลกระทบต่อผลผลิตของอุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป ตลอดจนการดำเนินธุรกิจ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาค อีกทั้งมูลค่าการค้าชายแดน และการค้าผ่านแดน ยังคงหดตัวต่อเนื่อง โดยในเดือนกันยายน 2568 มูลค่าการค้ากับเมียนมา ลดลงเหลือ 9,401 ล้านบาท (-40.8%) ขณะที่การค้ากับกัมพูชา ลดลงเหลือเพียง 11 ล้านบาท (-99.9%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ระดับ 93.5 จากระดับ 91.8 ในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ อาทิ มาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน ผ่านการจัดตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เพื่อรับซื้อและปรับโครงสร้างหนี้เสียภาคครัวเรือน รวมถึงมาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการ SMEs โดยให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันสินเชื่อในวงเงินขั้นต่ำ 50,000 บาท ซึ่งช่วยเสริมสภาพคล่อง และกระตุ้นการลงทุนในระบบเศรษฐกิจ
ข่าวต่างประเทศ
4. สิงคโปร์ปรับเพิ่มเป้าศก.ปี 68 เป็นขยายตัว 4% หลัง GDP Q3 โตเกินคาด 4.2% (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 21 พฤศจิกายน 2568)
กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ (MTI) เปิดเผยว่า ได้มีการประกาศปรับเพิ่มคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2568 เป็นขยายตัวประมาณ 4.0% จากเดิมที่คาดว่าจะโตในช่วง 1.5-2.5% หลังตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3 ขยายตัวดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ โดยข้อมูลทางการระบุว่า GDP สิงคโปร์โตขึ้น 4.2% ในไตรมาส 3 เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสูงกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ 2.9% และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ 4.0% ขณะที่เมื่อเทียบรายไตรมาส GDP ขยายตัว 2.4% จากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ สภาวะเศรษฐกิจโลกแข็งแกร่งกว่าที่ประเมินไว้ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศคู่ค้าหลักของสิงคโปร์ที่ GDP เติบโตได้ดีเกินคาดในไตรมาส 3 ปี 2568 ขณะเดียวกัน ทางกระทรวงฯ ได้คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจปี 2569 ไว้ที่ 1.0-3.0%
อย่างไรก็ตาม ทางด้านเบ๊ เซวียน หยิน ปลัดกระทรวงฯ ตอบข้อซักถามเรื่องเป้าหมายปี 2569 ที่อาจดูระมัดระวังเกินไปว่า ยังคงมีความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการค้า หรือแนวโน้มการชะลอตัวของการลงทุนด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยหนุนภาคการส่งออกในช่วงที่ผ่านมา โดยด้านองค์การวิสาหกิจของสิงคโปร์ (Enterprise Singapore) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวง MTI ได้ปรับกรอบคาดการณ์การส่งออกสินค้าที่ไม่ใช่น้ำมัน (NODX) ปี 2568 ให้แคบลงเหลือประมาณ 2.5% จากเดิม 1-3% เนื่องจากความต้องการสินค้ากลุ่ม AI และราคาทองคำที่พุ่งสูงช่วยพยุงยอดส่งออกในไตรมาสที่ 4 ส่วนปี 2569 คาดว่า NODX จะขยายตัวในช่วง 0-2% ทั้งนี้ ธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) มีมติคงนโยบายการเงินในการประชุมเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดี แม้จะมีความท้าทายจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ก็ตาม
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)