ข่าวในประเทศ
นายธนกร วังบุญคงชนะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. 'ธนกร' ร่วมตั้งวงถกทูตญี่ปุ่น (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 11 ธันวาคม 2568)
นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึง ผลการหารือร่วมกับ นายโอตากะ มาซาโตะ เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย พร้อมคณะ เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า การหารือร่วมกันในครั้งนี้เพื่อยกระดับความร่วมมือเชิงลึกด้านอุตสาหกรรม โดยเฉพาะยานยนต์สมัยใหม่ ห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรม และการพัฒนาบุคลากรด้านเอสเอ็มอีไทยให้ก้าวทันเทคโนโลยีอุตสาหกรรมใหม่ของญี่ปุ่น โดยมีผลสรุปใน 3 เรื่องหลัก ที่ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันว่าต้องเดินหน้าร่วมกันทันที ทั้งนี้ ประกอบด้วย การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุตสาหกรรมยุคใหม่ ร่วมขยายความร่วมมือในอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ เซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง และพลังงานสะอาด เพื่อสร้างห่วงโซ่การผลิตที่แข็งแรงร่วมกันไทยพร้อมผลักดันเอสเอ็มอี เข้าสู่เครือข่ายญี่ปุ่น อำนวยความสะดวกด้านการลงทุนและสิทธิประโยชน์เต็มที่ และร่วมกันพัฒนาศักยภาพเอสเอ็มอี และสตาร์ตอัป ทั้งสองประเทศจะเร่งแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ มาตรฐาน และเทคโนโลยี ให้ผู้ประกอบการไทยเชื่อมต่อกับเครือข่ายธุรกิจญี่ปุ่นมากขึ้น ควบคู่กับการยกระดับบุคลากรและระบบนวัตกรรม เพื่อให้ทั้งเอสเอ็มอีและสตาร์ตอัป เป็นกำลังหลักของเศรษฐกิจใหม่ นอกจากนี้ ยังต้องวางระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและรีไซเคิล โดยร่วมกันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและมาตรฐานสำหรับอุตสาหกรรมรีไซเคิล และการจัดการซากรถและแบตเตอรี่อย่างเป็นระบบ ซึ่งไทยต้องการเรียนรู้ประสบการณ์จากญี่ปุ่นเพื่อนำมาต่อยอด ลดการพึ่งพาทรัพยากร และก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำอย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองฝ่ายยังยืนยันกรอบดำเนินงานภายใต้กลไกหารือพลังงานและอุตสาหกรรมไทย-ญี่ปุ่น พร้อมเร่งจัดทำโรดแม็ปความร่วมมือร่วมกัน เพื่อให้เกิดความชัดเจนเชิงเวลาและผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม ตั้งเป้าหมายให้ภาคเอกชนเห็นความคืบหน้าและโครงการความร่วมมือจริงให้เร็วที่สุด
นายธีรทัศน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา
รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม
2. ขับเคลื่อนอุตฯ สู่ยุคดิจิทัลอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 8 ธันวาคม 2568)
นายธีรทัศน์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริหารและจัดหาระบบคอมพิวเตอร์ของกระทรวงอุตสาหกรรม ครั้งที่ 1/2568 ซึ่งมี นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุม โดยในการประชุมครั้งนี้ ได้ร่วมกันพิจารณาคำของบประมาณโครงการด้านดิจิทัลประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม ให้สอดคล้องกับนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรมในการขับเคลื่อนภาค อุตสาหกรรมไทยเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้กรอบแนวคิด "MIND as One ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยดิจิทัล" โดยมีการทำแผนการดำเนินงานต่อเนื่องเพื่อให้สอดคล้องแผนพัฒนาดิจิทัลของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2566 - 2570 ด้วยงบประมาณรวมทั้งสิ้น 245,862,700 บาท เพื่อปฏิรูปการให้บริการและการกำกับดูแล ภาคอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง โดย มุ่งเน้นการบูรณาการการทำงานของทุกกรมเป็นหนึ่งเดียว ผ่านการเนินงาน 3 ด้าน ดังนี้ 1. การยกระดับระบบราชการให้เป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบ (Modernization) โดยการพัฒนาระบบบริการของกระทรวงให้เป็นดิจิทัลและเชื่อมโยงกันภายใต้ระบบ i-Industry เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน : นำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญในกระบวนการทำงานและระบบบริการต่างๆ เพิ่มความแม่นยำ ลดขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และยกระดับการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการและประชาชน 2. การขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและการเชื่อมโยงข้อมูลทุกภาคส่วน (Innovation & Integration Networking) สร้างฐานข้อมูลกลางของกระทรวงอุตสาหกรรม (Central Industrial Data Platform) เพื่อทำหน้าที่เป็นฐานข้อมูลหลักที่เชื่อมโยงข้อมูลจากทุกกรม การนำข้อมูลไปใช้ในการวางนโยบาย การกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรม และการให้บริการแก่ผู้ประกอบการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ และรองรับการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นๆ เช่น ระบบวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก (Analytics) และระบบตรวจจับความผิดปกติ และ 3. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ความปลอดภัย และบุคลากร (Development) เน้นการยกระดับด้าน Cybersecurity ระบบเครือข่ายสื่อสาร และครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ พัฒนาทักษะบุคลากรด้านดิจิทัล ในทุกระดับ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้งานระบบสารสนเทศ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยกำชับให้ทุกโครงการต้องมีความคุ้มค่า โปร่งใส ใช้งานได้จริง และตอบสนองต่อภารกิจหลักของหน่วยงาน
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
3. บีโอไอส่งเสริมท้ายปีกว่า 2.4 แสนล้าน เลือก 16 โครงการ เข้า Fast Pass (ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา, ประจำวันที่ 12 ธันวาคม 2568)
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) ซึ่งมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธาน เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2568 ได้อนุมัติโครงการลงทุน จำนวน 15 โครงการ มูลค่ากว่า 2.4 แสนล้านบาท ครอบคลุมอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์ พลังงานสะอาด นิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ และการขนถ่ายสินค้าทางเรือ พร้อมปรับปรุงการส่งเสริมอุตสาหกรรมเหล็กคุณภาพสูง โดยใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และคัดเลือก 16 โครงการลงทุนขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายเข้าระบบ Thailand Fast Pass เพื่อเร่งรัด ปลดล็อกอุปสรรค และอำนวยความสะดวกให้เกิดการลงทุนจริงโดยเร็ว เพื่อก้าวสู่ปีแห่งการลงทุน 2569 ตามแผนของรัฐบาล สำหรับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่ได้รับอนุมัติจำนวน 15 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 2.4 แสนล้านบาท ประกอบด้วย กิจการดาต้าเซ็นเตอร์ 11 โครงการ รวมมูลค่า 184,740 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท เคอเร้นท์ 19,773 ล้านบาท บริษัท เอสทีที จีดีซี 9,348 ล้านบาท บริษัท เคทู สแทรททิจิค อินฟราสตรัคเจอร์ 30,869 ล้านบาท บริษัท ไทย ดีซี วัน 22,110 ล้านบาท บริษัท เอสทีคลีนพลาเน็ต 20,635 ล้านบาท บริษัท ดาเรีย ดาต้า เซ็นเตอร์ แอนด์ คลาวด์ เซอร์วิสเซส 6,594 ล้านบาท บริษัท จีเอสเอ ดาต้า เซนเตอร์ 30,611 ล้านบาท บริษัท สมาร์ท เมกะวัตต์ 3,797 ล้านบาท บริษัท ทีดี ดาต้า อินเตอร์เนชั่นแนล 13,000 ล้านบาท บริษัท ตง หนาน ดาต้า 20,625 ล้านบาท และบริษัท ไพรม์ เมกะวัตต์ 7,378 ล้านบาท กิจการนิคมอุตสาหกรรมอัจฉริยะ ของบริษัท อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ จังหวัดสมุทรปราการ เงินลงทุน 3,464 ล้านบาท ,กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม ขนาด 90 เมกะวัตต์ ของบริษัท บลู สกาย วินด์ พาวเวอร์ 31 จังหวัดอุบลราชธานี เงินลงทุน 5,635 ล้านบาท ,กิจการขนถ่ายสินค้าทางเรือ ของบริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล ที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จังหวัดระยอง เงินลงทุน 14,122 ล้านบาทและกิจการผลิตโพแทสเซียมคลอไรด์ ของบริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตซ คอร์ปอเรชั่น จังหวัดอุดรธานี เงินลงทุน 40,468 ล้านบาท นอกจากนี้ บอร์ดบีโอไอยังได้คัดเลือกโครงการที่ได้ยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนแล้ว เข้าสู่กลไก Thailand Fast Pass เป็นล็อตแรก จำนวน 16 โครงการ โดยเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และเป็นโครงการที่สร้างประโยชน์อย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจ อาทิ เทคโนโลยีชีวภาพ ชิ้นส่วนอากาศยาน ชิ้นส่วนยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดาต้า เซ็นเตอร์ และศูนย์โลจิสติกส์อัจฉริยะ รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.7 แสนล้านบาท และจะก่อให้เกิดการจ้างงานคนไทยกว่า 7,000 คน
อย่างไรก็ตาม บีโอไอกำหนดให้โครงการที่ได้รับบัตร Thailand Fast Pass ต้องมีการลงทุนจริงไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของมูลค่าการลงทุนรวม ภายใน 6 เดือนนับจากวันที่ได้รับบัตร เพื่อเร่งให้เกิดการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมและสามารถวัดผลได้ชัดเจน และบอร์ดบีโอไอจะทยอยพิจารณาคัดเลือกโครงการเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนจริง และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในช่วงปี 2569-2570
ข่าวต่างประเทศ
4. การค้าเวียดนามขยายตัว ยอดเกินดุลสหรัฐฯ พุ่งสวนภาษีนำเข้า (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 8 ธันวาคม 2568)
สำนักงานสถิติแห่งชาติเวียดนาม เปิดเผยรายงานว่า มูลค่าการค้ารวมของเวียดนามในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 8.3975 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.2% จากปีก่อน โดยตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ยอดส่งออกรวมอยู่ที่ 4.3014 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 16.1% ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 18.4% สู่ระดับ 4.0961 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งข้อมูลระบุว่า เวียดนามมีดุลการค้าเกินดุลการค้า 2.053 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ เวียดนามมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็น 1.216 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ โดยการส่งออกยังคงพุ่งขึ้น แม้สหรัฐฯ เริ่มเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากเวียดนามตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นมา
อย่างไรก็ตาม เวียดนามยังคงอยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ แต่จนถึงขณะนี้เวียดนามแทบไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการจัดเก็บภาษีนำเข้าระดับ 20% ที่รัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์บังคับใช้เพื่อพยายามลดความได้เปรียบด้านการค้าจำนวนมากของเวียดนาม
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)