ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนธันวาคม 2568

ข่าวในประเทศ

รูปภาพประกอบด้วย คน, เสื้อผ้า, ใบหน้าของมนุษย์, ผู้ประกอบการ

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

นายภาสกร ชัยรัตน์

รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. ไทยดึงญี่ปุ่นร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 22 ธันวาคม 2568)

นายภาสกร ชัยรัตน์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยในงานสัมมนา "Overseas Expansion Symposium" ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ว่า ท่ามกลางความท้าทายโลก อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สังคมสูงวัย การปฏิวัติดิจิทัล และการปรับโครงสร้างห่วงโซ่อุปทานโลก ส่งผลให้ประเทศไทยกำลังเร่งปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมจากการพึ่งพายานยนต์แบบเดิมไปสู่ "อุตสาหกรรมยุคใหม่" (Beyond the Automotive-Dependent Era) ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรท้องถิ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ รัฐบาลไทยพร้อมเดินหน้าผลักดัน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมชีวภาพและเทคโนโลยีชีวภาพ (Bioeconomy and Biotechnology) 2. อุตสาหกรรมการแพทย์ และสุขภาพ (Healthcare and Medical Industry) 3. อุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร (Agriculture and Food) 4. อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ (Defense Industry) และ 5. อุตสาหกรรมสีเขียวและเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Green Industry/BCG) นอกจากนี้ ประเทศไทยพร้อมเปิดโอกาสให้เกิดความร่วมมือเชิงลึกกับภาคเอกชนของประเทศญี่ปุ่น ทั้งในด้านการลงทุน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการพัฒนานวัตกรรมร่วมกัน โดยเฉพาะการต่อยอดวัตถุดิบภาคเกษตร เช่น อ้อย มันสำปะหลัง ข้าว และกัญชง สู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง อาทิ ไบโอพลาสติก เชื้อเพลิงชีวภาพ วัสดุคอมโพสิต และเวชภัณฑ์ขั้นสูง โดยอาศัยเทคโนโลยีชั้นสูงและความเชี่ยวชาญของประเทศญี่ปุ่นเป็นแรงเสริมสำคัญ ซึ่งประเทศไทยมีศักยภาพในฐานะประตูสู่ตลาดอาเซียนและตลาดโลก ด้วยทำเลยุทธศาสตร์ใจกลางอาเชียน มีเครือข่ายความตกลงการค้าเสรี (FTA) กว่า 17 ฉบับ ครอบคลุม 24 ประเทศ/เขตเศรษฐกิจ ตลอดจนมีจุดแข็งด้านนโยบายส่งเสริมการลงทุน อาทิ สิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและการทำงานสำหรับนักลงทุนต่างชาติ โครงสร้างพื้นฐานที่ครบถ้วน แรงงานทักษะสูง และต้นทุนการผลิตที่สามารถแข่งขันได้

อย่างไรก็ตาม แนวคิด "OTAGAI-Helping Each Other" สะท้อนความเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ไทย-ญี่ปุ่น ที่มุ่งสร้างการเติบโตแบบ win-win ผ่านการร่วมลงทุน การจับคู่ธุรกิจ และการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคตร่วมกัน พร้อมแสดงความเชื่อมั่นว่าความร่วมมือดังกล่าว จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมูลค่าใหม่และการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่ทั้ง 2 ประเทศในระยะยาว สำหรับงานสัมมนา "Overseas Expansion Symposium" ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ครั้งนี้ จัดโดย Tokyo SME Support Center มีจุดประสงค์ที่จะมุ่งขยายฐานผู้ประกอบการญี่ปุ่นที่มีความสนใจการลงทุนและขยายธุรกิจในต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนในประเทศไทย ซึ่งมีผู้ประกอบการอุตสาหกรรมญี่ปุ่นเข้าร่วมกว่า 300 ราย ทั้ง  ในรูปแบบออนไซต์และออนไลน์ ทั้งนี้ภายในงานยังมีเวทีเสวนาแลกเปลี่ยนมุมมองระหว่างภาครัฐ นักวิชาการ และภาคเอกชนญี่ปุ่น-ไทย เกี่ยวกับธุรกิจยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยทรัพยากรท้องถิ่นและเทคโนโลยีญี่ปุ่น

 

รูปภาพประกอบด้วย ใบหน้าของมนุษย์, คน, สูท, ในร่ม

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ

ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)

 

2. กนอ.วาง 2 กลยุทธ์ ปี 69 เล็งผุดนิคมราคาต่ำดึงดูด SME (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2568)

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยถึงภาพรวมสถานการณ์การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรม ว่า ในปีงบประมาณ 2568 ที่ผ่านมาว่า มียอดขายและเช่าพื้นที่ประมาณ 8,000 ไร่ เป็นกลุ่มนักลงทุนใหม่ที่ย้ายมาจากจีนและไต้หวันเข้ามาลงทุนในไทย โดยในปี 2569 ทาง กนอ.ได้ตั้งเป้ายอดขายและเช่าพื้นที่ 12,000 ไร่ ซึ่งยังเชื่อว่าประเทศไทยยังคงมีศักยภาพรอบด้านเหมาะแก่การลงทุน ซึ่งขณะนี้นักลงทุนอาจจะอยู่ในช่วงศึกษาภาพรวมการลงทุนและรอการมีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ โดยในปีงบประมาณ 2568 กลุ่มอุตสาหกรรมที่เข้ามาลงทุนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานพาหนะและอุปกรณ์ (13.48%), ผลิตภัณฑ์โลหะ (10.45%), เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ (9.68%), เคมีภัณฑ์ (7.82%) และผลิตภัณฑ์พลาสติก (6.55%) โดยนักลงทุนจากญี่ปุ่น (23.41%) ยังคงครองแชมป์การลงทุนสูงสุด ตามมาด้วย จีน (16.76%) สิงคโปร์ (9.93%) และสหรัฐอเมริกา (5.79%) ส่งผลให้ปัจจุบัน กนอ. มีเม็ดเงินลงทุนสะสมรวมกว่า 15.32 ล้านล้านบาท และมีการจ้างงานในระบบกว่า 1 ล้านคน สำหรับปี 2569 กนอ.ได้กำหนดยุทธศาสตร์โดยมุ่งสู่การเป็น "Green & Digital Innovation" ซึ่ง  ทิศทางการดำเนินงานจะปรับบทบาทจากผู้พัฒนาที่ดินสู่การเป็น"ผู้สร้างสรรค์ระบบนิเวศอุตสาหกรรมและ นักลงทุนเชิงกลยุทธ์" (Strategic Investor) โดยมุ่งเน้น 2 แกนหลัก เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ 1. การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon City) ตั้งเป้าความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2050 และ 2.พลิกโฉมสู่องค์กรดิจิทัล (Digital Transformation) โดยการพัฒนาระบบการเงินแบบ Cashless เต็มรูปแบบ เพื่อรองรับการชำระเงินดิจิทัลทุกช่องทาง ส่วนความก้าวหน้าของการดำเนินงาน ตามนโยบายสำคัญ ในปีงบประมาณที่ผ่ามา กนอ. ได้เร่งขับเคลื่อนโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานหลักเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ กนอ. ยังคงแผนการทำนิคมอุตสาหกรรมที่ราคาไม่แพง หรือ นิคมฯ เอสเอ็มอี เพื่อดึง เอสเอ็มอีเข้ามาอยู่ในนิคมฯเดียวกัน โดยเสนอราคาที่เหมาะสมประมาณราคาไร่ละ 3-4 ล้านบาท จากปัจจุบันค่าเช่าอยู่ที่ไร่ละ 8-12 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือและ เพิ่มศักยภาพการแข่งขันให้กับเอสเอ็มอี ซึ่งขณะนี้คงต้องดูรัฐบาลใหม่ว่านโยบาย   จะเป็นอย่างไร แต่ทาง กนอ. ได้ทำแผนล่วงหน้าไว้เพื่อเสนอรัฐบาลในอนาคตในการดำเนินการนโยบายดังกล่าวไว้แล้ว

 

รูปภาพประกอบด้วย ใบหน้าของมนุษย์, คน, ยิ้ม, เสื้อผ้า

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

 

3. บีโอไอผนึก China EV100 ผลักดันไทยขึ้นสู่ซัพพลายเชน EV โลก (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 23 ธันวาคม 2568)

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในฐานะกรรมการและเลขานุการ คณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ดอีวี) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2568 บีโอไอ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับ นายจาง หยงเหว่ย รองประธานและเลขาธิการ สถาบันพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์พลังงานใหม่ (China EV100) ซึ่งเป็นคลังสมอง (Think Tank) และเป็นองค์กรที่มีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดทิศทางนโยบายอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลจีน นับเป็น MOU ฉบับแรกที่ China EV100 ลงนามกับประเทศในอาเซียน มี 8 องค์กรพันธมิตร ได้แก่ กรมสรรพสามิต สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน สถาบันยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมยานยนต์ไฟฟ้าไทย (EVAT) สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย สมาคมส่งเสริมการรับช่วงการผลิตไทย มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามและหารือความร่วมมือกับ China EV100 ในครั้งนี้ด้วย โดยการลงนาม MOU นี้ เพื่อสร้างความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ในการพัฒนาระบบนิเวศอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในไทย ควบคู่กับการยกระดับขีดความสามารถและเชื่อมโยงผู้ประกอบการไทยเข้าสู่ซัพพลายเชน EV ระดับโลก โดยจะมีการแลกเปลี่ยนความรู้และแนวทางการจัดทำนโยบายเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม EV ให้เติบโตอย่างยั่งยืน เสริมสร้างการแข่งขันที่สมดุลและเป็นธรรม พัฒนาบุคลากรและระบบนิเวศทั้งด้านการผลิต การจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว การพัฒนาระบบอัดประจุไฟฟ้าและระบบสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ การยกระดับผู้ประกอบการไทยผ่านความร่วมมือในการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ประกอบการจีน การสร้างกลไกสนับสนุนการร่วมลงทุนระหว่างจีน-ไทย จัดกิจกรรมและเวทีความร่วมมือทั้งในไทยและจีน โดยความร่วมมือระหว่างพันธมิตรฝ่ายไทยกับ China EV100 จะช่วยให้ไทยสามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกทั้งด้านนโยบายและวิธีการพัฒนาอุตสาหกรรม EV ของจีน อีกทั้งจะเป็นสะพานเชื่อมผู้ประกอบการของทั้ง 2 ประเทศ ให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน และเป็นช่องทางสะท้อนความคิดเห็นจากภาคอุตสาหกรรม เพื่อให้การจัดทำนโยบายและมาตรการต่างๆที่เกี่ยวกับ EV มีประสิทธิภาพ และนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายจาง หยงเหว่ย รองประธานและเลขาธิการ China EV100 กล่าวว่า การร่วมมือในครั้งนี้มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรม EV ของทั้งจีนและไทย โดย China EV100 พร้อมสนับสนุนวิสัยทัศน์ของไทยในการเป็นศูนย์กลาง EV ในอาเซียน และยินดีที่จะส่งเสริมผู้ประกอบการจีนให้เพิ่มการใช้ชิ้นส่วนในไทย รวมถึงการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับผู้ประกอบการไทย ซึ่งเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และจีน ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่ง จึงไม่กลัวเรื่องการถูกลอกเลียนแบบเหมือนกิจการอื่นๆ อีกทั้งการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้เกิดการผลิตที่ไทย จะช่วยลดความเสี่ยงจากการออกไปลงทุนในต่างประเทศด้วยตัวเอง และยังสามารถเพิ่มความเร็วในการผลิตออกสู่ตลาดด้วย จึงมีโอกาสสูงที่จะเพิ่มความร่วมมือระหว่างผู้ประกอบการของทั้ง 2 ประเทศให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต จะมุ่งเน้นการพัฒนาระบบอัจฉริยะของรถยนต์มากขึ้น ก็จะเป็นโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ สามารถเข้ามามีบทบาทพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้อีกด้วย

 

ข่าวต่างประเทศ

รูปภาพประกอบด้วย ภาพหน้าจอ, ศิลปะ

เนื้อหาที่สร้างโดย AI อาจไม่ถูกต้อง

 

4. กัมพูชากวาดยอดส่งออกไปอาเซียน-EU ช่วง 11 เดือน ปี 68 แตะ 9.71 พันล้านดอลล์ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 25 ธันวาคม 2568)

กระทรวงพาณิชย์กัมพูชา เปิดเผยรายงานว่า ในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2568 กัมพูชามีรายได้จากการส่งออกสินค้าไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนและสหภาพยุโรป (EU) รวม 9.71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกัมพูชาส่งออกสินค้าไปตลาดอาเซียนมูลค่า 5.13 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ยอดส่งออกไปยังตลาด EU อยู่ที่ 4.58 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 13.6% ในช่วง 11 เดือนแรกของปีนี้ ตลาดอาเซียนมีสัดส่วนเป็น 18.1% และตลาด EU 16.1% ของมูลค่าการส่งออกรวมทั้งหมดของกัมพูชาซึ่งอยู่ที่ 2.83 หมื่นล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม ทางด้านแปน โสวิเชียต รัฐเลขานุการและโฆษกกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา เปิดเผยว่า สินค้าหลัก  ที่กัมพูชาส่งออกไปยังอาเซียนและ EU ได้แก่ เสื้อผ้า สิ่งทอ รองเท้า เครื่องใช้สำหรับเดินทาง กระเป๋า จักรยาน ยางรถยนต์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางประเภท รวมถึงผลผลิตทางการเกษตร เช่น ข้าว เมล็ดมะม่วงหิมพานต์ มันสำปะหลัง และน้ำยางพารา

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)