ข่าวประจำวันที่ 30 เมษายน 2567

ข่าวในประเทศ

A person in a suit sitting in a chair

Description automatically generated

นายภูมิธรรม เวชยชัย

รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

 

1. ดัน กทม. - สิบสองปันนาฮับท่องเที่ยววัฒนธรรม (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 26 เมษายน 2567)

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังนำคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์หารือกับคณะนักธุรกิจสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ในระหว่างเดินทางมาปฏิบัติราชการที่สาธารณรัฐประชาชนจีน เพื่อแก้อุปสรรคทางการค้า เพิ่มมูลค่าการค้าไทย-จีน ที่โรงแรมเชอราตัน แกรนด์ สิบสองปันนา ว่าได้หารือกับนักธุรกิจจากสิบสองปันนาที่มาจากภาคธุรกิจสำคัญ อาทิ เครื่องดื่ม ท่องเที่ยว เทคโนโลยี ค้าส่ง-ค้าปลีกสินค้าเกษตรอสังหาริมทรัพย์ และโลจิสติกส์ ถึงความร่วมมือในด้านต่างๆ ระหว่างกันในอนาคต อาทิ เรื่อง การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษห้วยทราย ที่ต้องหารือ 3 ฝ่าย ทั้งไทย สปป.ลาว และจีน ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการค้า การท่องเที่ยว โรงแรม อสังหาริมทรัพย์ของ 3 ประเทศ ขณะนี้ไทยและจีน ฟรีวีซ่าระหว่างกันแล้วอนาคตจะส่งผลให้ใกล้ชิดกัน มากขึ้น และได้หารือกันถึงการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ ทั้งทางบก ทางเรือ และทางอากาศ โดยผู้ประกอบการจีนต้องการนำเข้าสินค้าปศุสัตว์ผ่านด่านท่าเรือกวนเหล่ยเพิ่มขึ้น ซึ่งไทยมีการเลี้ยงวัวมากและตลาดจีนมีความต้องการสูง จึงอยากผลักดันการนำเข้าโคมีชีวิต-แช่แข็ง และเนื้อสัตว์อื่นเพิ่มขึ้น รวมไปถึงส่งเสริมการนำเข้าผลไม้ไทย เพราะนอกจากทุเรียน มังคุด และลำไย ไทยยังมีผลไม้ตามฤดูกาลอื่นอีกหลายชนิดให้ชาวจีนได้ลิ้มรสผลไม้ไทยมากขึ้น ทั้งนี้ ตั้งใจผลักดันให้มีการติดต่อกันทางอากาศ เชื่อมต่อกันเป็นฮับการท่องเที่ยว สนับสนุนไฟล์ทบินตรงระหว่างกรุงเทพฯ-สิบสองปันนา สิบสองปันนา-เชียงใหม่ เพราะไทยมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย ถ้านักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยแล้วต่อไปที่สิบสองปันนา ไปหลวงพระบาง สปป.ลาว จะส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันได้ และอสังหาริมทรัพย์ไทยก็ให้การสนับสนุนต่างชาติร่วมลงทุน นอกจากนี้ สิบสองปันนายังเป็นแหล่งแปรรูปยางพาราที่สำคัญ ของจีน จึงอยากส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันเพิ่มมูลค่าการค้าด้วย

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ ได้คุยกับนักธุรกิจหลายส่วนทั้งอสังหาริมทรัพย์ โลจิสติกส์ การท่องเที่ยว นำเข้าสินค้าจากไทยมากระจายในตลาดจีน มีโอกาสมาก โดยจะหารือกับรัฐมนตรีเจ้าของกระทรวง ถ้าเปิดตลาดตรงได้จะทำให้การค้าที่นี่เจริญงอกงามมากขึ้นทำรายได้เข้าประเทศ

 

A person in a suit and tie

Description automatically generated

นายวันชัย พนมชัย

เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.)

 

2. สมอ.อุ้มส่งออกไทย 2.55 แสนล้าน (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 30 เมษายน 2567)

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของ สมอ.รอบ 6 เดือน ประจำปีงบประมาณ 2567 ว่า สมอ.ยังคงมุ่งมั่นดำเนินงานด้านการมาตรฐานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ และคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความปลอดภัยตามนโยบายควิกวิน ของ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยผลงานโดดเด่นนอกจากกวาดล้างสินค้าด้อยคุณภาพให้หมดไปจากท้องตลาดด้านการมาตรฐานระหว่างประเทศ สมอ.ได้เข้าร่วมเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) และเจรจาจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (MRA) ด้านการมาตรฐานกับประเทศต่างๆ รวม 4 เรื่อง เพื่อขยายโอกาสทางการค้าให้กับผู้ประกอบการของไทย รวมถึงปกป้องผลประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการไทยในเวทีการค้าโลก เฉพาะปี 2566 มูลค่าไม่ต่ำกว่า 255,500 ล้านบาท ทั้งนี้ การเจรจาประกอบด้วย 1. การเจรจาทำ FTA กับศรีลังกา ช่วยให้ผู้ประกอบการไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังศรีลังกา ปีละกว่า 10,800 ล้านบาท 2. การเจรจาจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (MRA) สมอ.-BMSI (ไต้หวัน) เพื่อให้ไต้หวันยอมรับผลทดสอบและรับรอง ทำให้ช่วยลดค่าใช้จ่ายและระยะเวลาในการตรวจสอบสินค้า เป็นการช่วยสนับสนุนการส่งออกสินค้าไปยังไต้หวัน ในปี 2566 กว่า 13,000 ล้านบาท 3. การเจรจากับอินเดียให้เลื่อนการบังคับใช้กฎระเบียบควบคุมคุณภาพสำหรับสินค้าแผ่นไม้ของอินเดีย ทำให้ ผู้ประกอบการไทยรักษาตลาดส่งออกสินค้าไปยังอินเดีย ปีละกว่า 2,700 ล้านบาท และ 4. การเจรจาร่างกฎระเบียบว่าด้วยมาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานสำหรับรถยนต์ใหม่ของออสเตรเลีย โดยขอให้ออสเตรเลียพิจารณากำหนดเกณฑ์การปล่อยก๊าซ CO2 อย่างค่อยเป็น ค่อยไป เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยมีเวลาในการเตรียมตัว ปีละกว่า 229,000 ล้านบาท โดย 3 เรื่องแรกเจรจาเสร็จสิ้นแต่เรื่องรถยนต์ส่งไปขายออสเตรเลีย ต้องสรุปข้อมูลจากผู้ประกอบการในไทยอีกครั้งว่าจะสามารถปล่อยก๊าซ CO2 ที่ระดับเท่าใด และออสเตรเลียจะผ่อนปรนให้หรือไม่ จึงต้องติดตามเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างใกล้ชิดต่อไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับการดำเนินการตรวจควบคุมการจำหน่ายสินค้าที่อยู่ในข่ายการควบคุมของ สมอ. จำนวน 144 รายการ ได้ดำเนินการอย่างเข้มข้น และต่อเนื่องในทุกช่องทาง ทั้งการลงพื้นที่ตรวจสอบ การเฝ้าระวังผ่านระบบ NSW และตรวจติดตามการ จำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยในรอบ 6 เดือน ที่ผ่านมา (ตุลาคม 2566 - มีนาคม 2567) ได้ตรวจจับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมาย ลักลอบผลิตและนำเข้าสินค้าไม่ได้มาตรฐาน จำนวน 191 ราย ยึดอายัดสินค้าเป็นมูลค่ากว่า 220 ล้านบาท

 

A person sitting in a chair with a tablet

Description automatically generated

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์

ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์

 

3. ส่งออกติดลบ 10.9% หดตัวครั้งแรกในรอบ 8 เดือน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 30 เมษายน 2567)

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกเดือนมีนาคม 2567 มีมูลค่า 24,960.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 10.9% กลับมาติดลบเป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่อง 7 เดือนติดต่อกัน เนื่องจากฐานปีก่อนสูงมาก ส่งออกได้ถึง 28,004.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 892,290 ล้านบาท การนำเข้ามีมูลค่า 26,123.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.6% คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 944,828 ล้านบาท ขาดดุลการค้ามูลค่า 1,163.3 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 52,538 ล้านบาท รวม 3 เดือนปี 2567 (มกราคม-มีนาคม) การส่งออกมีมูลค่า 70,995.3 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 0.2% คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 2,504,009 ล้านบาท นำเข้ามูลค่า 75,470.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.8% คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 2,692,023 ล้านบาท ขาดดุลการค้า 4,475.2 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินบาทมูลค่า 188,014 ล้านบาท ทั้งนี้ การส่งออกที่ลดลงมาจากการลดลงของสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร 5.1% โดยสินค้าเกษตรเพิ่ม 0.1% แต่สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ลด 9.9% โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ ข้าว ยางพารา อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป อาหารสัตว์เลี้ยง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป สิ่งปรุงรสอาหาร นมและผลิตภัณฑ์จากนม ส่วนสินค้าที่หดตัว อาทิ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง น้ำตาลทราย ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็งและแห้ง ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2567 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เพิ่ม 0.3% ขณะที่สินค้าอุตสาหกรรม ลด 12.3% สินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิหม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ และสินค้าที่หดตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ทั้งนี้ ไตรมาสแรกของปี 2567การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ลด 0.3%

อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มการส่งออก เดือนเมษายน 2567 มั่นใจว่าจะกลับมาเป็นบวก และไตรมาส 2 ก็มีแนวโน้มเป็นบวก ปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ ที่ขณะนี้กำลังออกสู่ตลาด คอมพิวเตอร์และชิ้นส่วน ที่เข้าสู่การฟื้นตัว สินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทรนด์พลังงานสะอาด ที่จะส่งออกได้ดีขึ้น และยังคงยืนยันเป้าส่งออกปีนี้ที่ 1-2% หากทำได้เฉลี่ยเดือนละ 24,044 ล้านเหรียญสหรัฐ การส่งออกจะขยายตัว 1% ทำได้เฉลี่ย 24,362 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเดือน การส่งออกจะขยายตัว 2% ส่วนการขาดดุลการค้า ดูแลไม่น่าเป็นห่วง เพราะตัวหลักที่นำเข้าสูง คือ สินค้าทุนและวัตถุดิบ นำเข้ารวมกัน 60% ของการนำเข้ารวม และอีกตัว คือ น้ำมัน มีสัดส่วนถึง 19%

 

ข่าวต่างประเทศ

A red circle on a white cloth

Description automatically generated

 

4. ญี่ปุ่น จับมือ อียู ร่วมมือด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยี เซมิคอนดักเตอร์ลดการพึ่งพาจีน (ที่มา: ศูนย์ข่าวแปซิฟิค, ประจำวันที่ 30 เมษายน 2567)

สำนักข่าว Kyodo เปิดเผยรายงานอ้างอิงแหล่งข่าวรัฐบาลว่า ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคม 2567 เจ้าหน้าที่ระดับสูงของทั้งสองฝ่าย มีกำหนดเจรจาทางเศรษฐกิจที่กรุงปารีส ฝรั่งเศส ในส่วนของญี่ปุ่น จะส่งนางโยโกะ คามิกาว่า รัฐมนตรีต่างประเทศ และนายเคน ไซโตะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมญี่ปุ่น ในขณะที่ อียู คาดว่าจะมีผู้แทนคือ นายวาลดิส ดอมบรอฟสกิส รองประธานบริหารของคณะกรรมาธิการยุโรป เข้าร่วมการหารือ เสริมสร้างความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานสำหรับเซมิคอนดักเตอร์และวัสดุที่สำคัญอื่นๆ ท่ามกลางความพยายามลดการพึ่งพาบางประเทศ เช่น จีน ญี่ปุ่น พยายามกระชับความร่วมมือกับพันธมิตรและประเทศที่มีแนวคิดเดียวกันเพื่อพัฒนาห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นสำหรับผลิตภัณฑ์ที่สำคัญ เมื่อเผชิญกับความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจที่เพิ่มสูงขึ้น เช่น สงครามของรัสเซียกับยูเครน และอิทธิพลที่เพิ่มมากขึ้นของจีน ผู้นำของญี่ปุ่นและกลุ่มประเทศ 27 ชาติกำลังทำงานเพื่อออกแถลงการณ์ร่วมที่ส่งเสริมการจัดตั้งห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใส ยืดหยุ่น และยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ขณะที่ จีนขยายบทบาทในตลาดโลกอย่างแข็งขันด้วยเซมิคอนดักเตอร์ราคาถูก ยานพาหนะไฟฟ้า และแผงโซลาร์เซลล์ ทำให้เกิดความกังวลเพิ่มมากขึ้นว่าจีนอาจกดดันประเทศอื่นๆ ด้วยมาตรการบีบบังคับทางเศรษฐกิจ

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)