ข่าวในประเทศ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
1. สภาอุตฯ ลุยผ่าตัดใหญ่ภาคผลิตไทย ดันอุตสาหกรรมสีเขียว ลดโรงงานปิดตัว (ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ, ประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2567)
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การปิดตัวของโรงงานผลิตสินค้าของไทยมีแนวโน้มจะทยอยปิดตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกของ ส.อ.ท. ใน 46 กลุ่มสินค้า ส่วนใหญ่ยังเป็นการผลิตสินค้าในอุตสาหกรรมดั้งเดิม ในลักษณะรับจ้างผลิต (โออีเอ็ม) เริ่มเป็นสินค้าล้าสมัย ที่ต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ เพื่อยกระดับการแข่งขันทาง ส.อ.ท. โดยคณะกรรมการบริหารชุดใหม่ (วาระปี 2567-2569) ได้เร่งปรับโครงสร้างการผลิตของไทย โดยผลักดันให้สมาชิกมุ่งสู่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง ตอบโจทย์เทรนด์ใหม่ๆ ของโลกเพื่อความยั่งยืน โดยใช้พลังงานสะอาด เป็นอุตสาหกรรมสีเขียว เป็นอุตสาหกรรมตาม BCG Model (Bio-Circular-Green) และเป็นอุตสาหกรรมที่ช่วยลดโลกร้อน ปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ (Net Zero) เพื่อสร้างมูลค่าเศรษฐกิจใหม่ให้กับประเทศไทยให้สามารถขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ให้ขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปีในอนาคต ซึ่งทางสภาอุตสาหกรรมฯ ยังอยู่ระหว่างการผลักดันสมาชิก 46 กลุ่มอุตสาหกรรม สู่สมาร์ทเอสเอ็มอีใน 4Go คือ Go Digital & AI, Go Innovation, Go Global และ Go Green โดยทั้งหมดนี้จะเร่งให้บังเกิดผลที่เป็นรูปธรรมในช่วง 2 ปีนับจากนี้ เพื่อช่วยแก้ปัญหาการปิดตัวของโรงงาน สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ และมูลค่าการส่งออกใหม่ให้กับประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม ยังมีหลายปัจจัยที่น่าห่วงและเสี่ยงกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้อาทิ การใช้กำลังผลิตของภาคอุตสาหกรรมไทยยังชะลอตัวติดต่อกันมาถึง 18 เดือน ตัวเลขล่าสุดในเดือนเมษายน 2567 อัตราการใช้กำลังผลิตในภาพรวมเฉลี่ยที่ 55% จากตลาดในประเทศต้องแข่งขันรุนแรงกับสินค้าจีนที่ส่งเข้ามาจำหน่ายในราคาต่ำ ส่วนตลาดส่งออกต้องแข่งขันรุนแรงเช่นกัน กับสินค้าจีน เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย จากเป็นสินค้าที่ผลิตคล้ายๆ กัน แต่สินค้าไทยเสียเปรียบต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า จากต้นทุนพลังงาน และค่าจ้างแรงงาน ทำให้ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาโรงงานผลิตสินค้าของไทยปิดตัวไปแล้วมากกว่า 3,500 โรงงาน
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
2. สินค้าแค่ 20 ชนิด ครองส่งออก 64% พณ.ดัน 'อันดับรอง' เพิ่มเจาะตลาด (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2567)
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ทำการศึกษาวิเคราะห์ผลักดันการส่งออกสินค้าระดับรองให้มีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากข้อมูลส่งออกสินค้าไทย พบว่าการส่งออกสินค้าแต่ละหมวดมีการกระจุกตัวอยู่ที่สินค้าหลัก ปัจจุบันสินค้ากลุ่มนี้ ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นและเติบโตลดลง ส่งผลให้การส่งออกของไทยไม่สามารถขยายตัวได้เต็มศักยภาพเท่าที่ควร นอกจากเปิดตลาดใหม่และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเดิมแล้ว จำเป็นต้องผลักดันสินค้าตัวเด่นระดับรองที่มีศักยภาพเติบโตดี และเป็นที่ต้องการจากตลาดโลก แต่มีมูลค่าส่งออกน้อย ทั้งนี้ ในปี 2566 สินค้าส่งออก 20 อันดับแรกของไทย ค่อนข้างกระจุกตัวกลุ่มเดิมหรือสินค้าหลักที่เป็นพระเอก และมีมูลค่ารวมถึง 181,865 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6,270,411 ล้านบาท มีสัดส่วน 63.9% ของส่งออกรวม ประกอบด้วย รถยนต์ เครื่องคอมพิวเตอร์ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง แผงวงจรไฟฟ้า กลุ่มผลไม้ และเครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ขณะที่สินค้าส่งออกที่เหลือ ที่มีมูลค่า 102,697 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3,538,596 ล้านบาท มีสัดส่วน 36.1% นับว่ามีมูลค่าและสัดส่วนการส่งออกที่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม หลังโควิดการเติบโตและความต้องการของโลก กลุ่มสินค้าระดับรองมีแนวโน้มโตดี และมีศักยภาพดันให้มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น อย่างสินค้าเกษตร อาทิ สับปะรดสด ทุเรียนแช่เย็น ลำไยแช่เย็น ข้าวโพดอ่อน เห็ดสด ไก่สด ไข่ไก่สด ธัญพืช ถั่วเขียวผิวมัน และถั่วเขียวผิวดำ อย่างอุตสาหกรรมเกษตร อาทิ อาหารสัตว์เลี้ยง ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูป น้ำมันจากพืชและสัตว์ สิ่งปรุงรสอาหาร ผลิตภัณฑ์นม และไอศกรีม ส่วนอุตสาหกรรม อาทิ รถจักรยานยนต์ แผงสวิตช์ เครื่องมือแพทย์ อุปกรณ์ไฟฟ้าจุดระเบิดเครื่องยนต์ เภสัชภัณฑ์ เครื่องกีฬาและเครื่องเล่นเกม โดย สนค.อยู่ระหว่างวิเคราะห์และจัดทำแนวทางเพื่อเพิ่มมูลค่าส่งออก
นายดนุชา พิชยนันท์
เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
3. ขีดความสามารถไทยแซงมาเลย์ (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2567)
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ได้รายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันประจำปี 2567 โดย IMD World Competitiveness Center ในภาพรวมประเทศไทยมีอันดับความสามารถในการแข่งขันอยู่ที่อันดับ 25 จาก 67 เขตเศรษฐกิจทั่วโลกปรับดีขึ้น 5 อันดับ จากอันดับที่ 30 ในปี 2566 และเป็นข่าวดีที่ไทยอันดับดีขึ้นจนแซงมาเลเซียขึ้นเป็นอันดับที่ 2 ของอาเซียนรองจากสิงคโปร์ แต่เมื่อพิจารณาผลคะแนนสุทธิลดลงจาก 74.54 คะแนน มาอยู่ที่ 72.51 คะแนน ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเขตเศรษฐกิจอื่นๆ ส่วนใหญ่ที่ในปีนี้มีภาพรวมผลคะแนนสุทธิลดลง โดยผลการจัดอันดับที่สำคัญ คือ ด้านสมรรถนะทางเศรษฐกิจ หรือ Economic Performance ของไทยปรับดีขึ้นถึง 11 อันดับ จากอันดับที่ 16 มาเป็นอันดับที่ 5 ความสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการค้าระหว่างประเทศที่ดีขึ้น และในปีก่อนดุลบัญชีเดินสะพัดก็ปรับตัวดีขึ้น สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยการค้าระหว่างประเทศที่ไทยอันดับดีขึ้น จากปีก่อนถึง 23 อันดับ จากอันดับ 29 ในปี 2566 มาอยู่ที่อันดับ 6 ขณะที่เศรษฐกิจภายในประเทศอันดับดีขึ้นจากปีก่อน 5 อันดับ จากอันดับที่ 44 ในปีที่แล้ว มาอยู่ที่อันดับ 39 ในส่วนของด้านประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) ภาพรวมปรับอันดับดีขึ้น จากปี 2566 เล็กน้อย 3 อันดับมาอยู่ที่อันดับ 20 ในปี 2567 สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยการบริหารจัดการที่ไทยอันดับดีขึ้น จากปีก่อนถึง 7 อันดับ จากอันดับ 22 ในปี 2566 มาอยู่ที่อันดับ 15 และทัศนคติและค่านิยมที่ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย 1 อันดับจากอันดับ 19 มาอยู่ที่อันดับ 18
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ปลื้มที่ไทยปรับตัวดีขึ้น 5 อันดับ โดยในปีนี้ครองอันดับที่ 25 จาก อันดับที่ 67 เขตเศรษฐกิจในการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศประจำปี 2024 ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอบคุณการจัดอันดับที่สะท้อนให้เห็นผลสำเร็จของการทำงานของรัฐบาล โดยที่รัฐบาลวางแผนการทำงานอย่างต่อเนื่องมีรูปแบบเป็นไปตามยุทธศาสตร์ จึงมั่นใจว่ารัฐบาลพร้อมที่จะต่อสู้กับความท้าทายที่เกิดขึ้นเอาชนะทุกอุปสรรค เพื่อให้ไทยมีความสามารถในการแข่งขันที่ไม่อาจมองข้ามได้ เพื่อนำความได้เปรียบเหล่านั้นมาพัฒนาให้เกิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีวิถีชีวิตที่ดีขึ้น
ข่าวต่างประเทศ
4. ญี่ปุ่นขาดดุลการค้า 1.22 ล้านล้านเยน เหตุเยนอ่อนหนุนมูลค่านำเข้าพุ่ง (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2567)
รัฐบาลญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ญี่ปุ่นขาดดุลการค้า 1.22 ล้านล้านเยน (7.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในเดือนพฤษภาคม 2567 เนื่องจากการอ่อนค่าของเงินเยนส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ ยอดนำเข้าเดือนพฤษภาคมของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 9.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะที่ระดับ 9.5 ล้านล้านเยน โดยได้แรงหนุนจากการนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ยอดส่งออกพุ่งขึ้น 13.5% ในเดือนพฤษภาคม แตะที่ระดับ 8.28 ล้านล้านเยน ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคมในปีอื่นๆ โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกรถยนต์ไปยังสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งความแข็งแกร่งของอุปสงค์เครื่องจักรที่ใช้ผลิตชิปในประเทศจีน
อย่างไรก็ตาม ทางด้านสำนักข่าวเกียวโดรายงานโดยอ้างข้อมูลของกระทรวงการคลังญี่ปุ่นว่า เงินเยนอ่อนค่าลงราว 15% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในเดือนพฤษภาคม เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อญี่ปุ่นเนื่องจากการอ่อนค่าของเงินเยนทำให้มูลค่าการนำเข้าปรับตัวสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้ ญี่ปุ่นมียอดเกินดุลการค้ากับสหรัฐมูลค่า 4.7364 แสนล้านเยน เพิ่มขึ้น 10.9% ขณะเดียวกันญี่ปุ่นขาดดุลการค้ากับจีนมูลค่า 5.3309 แสนล้านเยน ลดลง 1.5%
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)