ข่าวในประเทศ
นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. 'อุตฯ' จ่อถกมสินค้าจีน ห่วงไม่ได้มาตรฐานทะลักไทยกดเอสเอ็มอีระส่ำ (ที่มา: ไทยโพสต์, ประจำวันที่ 8 สิงหาคม 2567)
นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณีที่สินค้าราคาถูกจากจีนเข้ามาตีตลาดไทยอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในประเทศอย่างมาก ว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีการสั่งการให้เร่งหามาตรการและแนวทางในการรับมือสถานการณ์ดังกล่าว โดยเร็วๆ นี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อดำเนินการเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ ถึงแม้ไม่มีแฟลตฟอร์มจีน อย่าง Temu เข้ามา กระทรวงอุตสาหกรรมก็มีการพูดคุยกันอยู่แล้วว่าจะเข้ามาดูเรื่องนี้ ว่าจะทำอย่างไรให้สินค้ายกตู้ สินค้าที่เข้ามาทางชายแดน หรือสินค้าที่มีการสั่งทางแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ มีวิธีการตรวจสอบหรือดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ประชาชนผู้บริโภคได้รับสินค้าที่ดีและมีคุณภาพได้มาตรฐาน
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า ที่ประชุมยังคงกรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2567 อยู่ที่ 2.2-2.7% ด้านการส่งออกขยายตัว 0.8-1.5% และอัตราเงินเฟ้อขยายตัวที่ 0.5-1.0% จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ถือเป็นความท้าทายต่อการส่งออกสินค้าของไทย ซึ่งขยายตัวได้เพียง 2% ในช่วงครึ่งปีแรก ทั้งนี้ ขอเสนอให้รัฐบาลเข้มงวดการตรวจสอบมาตรฐานสินค้านำเข้า กำกับและควบคุมสินค้าที่หลีกเลี่ยงภาษี โดยบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าภายในประเทศอย่างเข้มข้น สร้าง Ecosystem ที่ทำให้ผู้ประกอบการไทย และ Supply Chain ไทยมีความเข้มแข็งและแข่งขันได้
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า
2. สินค้าหลายชนิดแพงขึ้นดันเงินเฟ้อพุ่ง 4 เดือนติดต่อกัน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 8 สิงหาคม 2567)
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคของไทย เดือนกรกฎาคม 2567 เท่ากับ 108.71 เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม 2566 ซึ่งเท่ากับ 107.82 ทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปสูงขึ้น 0.83% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ส่งผลให้ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป เฉลี่ย 7 เดือน (มกราคม-กรกฎาคม) ของปี 2567 เทียบกับช่วงเดียวกัน ของปี 2566 สูงขึ้น 0.11% (AoA) โดยมีปัจจัยสำคัญ มาจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตามสถานการณ์ ราคาน้ำมัน ในตลาดโลก ประกอบกับมีการปรับตัวสูงขึ้นของราคาสินค้ากลุ่มอาหาร โดยเฉพาะอาหารสำเร็จรูป ผลไม้สด ข้าวสารเจ้า และข้าวสารเหนียว สำหรับราคาสินค้าและบริการอื่นๆ ส่งผลกระทบต่อภาวะเงินเฟ้อไม่มากนัก โดยอัตราเงินเฟ้อของไทยเมื่อเทียบกับต่างประเทศ โดยข้อมูลล่าสุดเดือนมิถุนายน 2567 พบว่า อัตราเงินเฟ้อของไทยสูงขึ้น 0.62% (YoY) ซึ่งยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ โดยอยู่ระดับต่ำอันดับ 5 จาก 135 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำเป็นอันดับ 2 ในอาเซียน ทั้งนี้เงินเฟ้อพื้นฐาน (เงินเฟ้อทั่วไป เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออก) สูงขึ้น 0.52% (YoY) เร่งตัวขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2567 ที่สูงขึ้น 0.36% (YoY) โดยดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนกรกฎาคม 2567 เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2567 สูงขึ้น 0.19% (MoM) ตามการสูงขึ้นของหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ 0.18% และหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและ เครื่องดื่ม สูงขึ้น 0.21% จากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าสำคัญที่ราคาปรับลดลง อาทิ ของใช้ส่วนบุคคล และเสื้อยืดบุรุษและสตรี เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับปัจจัยที่คาดว่าจะทำให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ 1. ราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศ กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาทต่อลิตร ซึ่งสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 2. ราคาสินค้าและบริการในหมวดที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะ ราคาค่าโดยสารเครื่องบินตามการฟื้นตัว ต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และ 3. ราคา ผลไม้ปรับตัวสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า เนื่องจากอุปสงค์ที่มีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะทุเรียนและเงาะ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ ยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไป ปี 2567 อยู่ระหว่างร้อยละ 0.0-1.0 (ค่ากลาง ร้อยละ 0.5) ซึ่งเป็นอัตราที่สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน และหากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ จะมีการทบทวนอีกครั้ง
นายผยง ศรีวณิช
ประธานสมาคมธนาคารไทย
3. กกร.หวั่นไทยขาดดุลจีนหนัก (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 8 สิงหาคม 2567)
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า ที่ประชุม กกร. กังวลในการขาดดุลการค้าระหว่างไทยกับจีนล่าสุด 6 เดือน (มกราคม - มิถุนายน) ของปี 2567 มีการนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นถึง 7.12% เมื่อเทียบจากปีก่อน คิดเป็นมูลค่ากว่า 37,569.89 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้ไทยขาดดุลการค้าจากจีน 19,967.46 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 698,845 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.66% ส่งผลกระทบกับภาคการผลิตกว่า 23 กลุ่มอุตสาหกรรม รวมทั้งยังถูกซ้ำเติมจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของจีนอย่าง TEMU (ทีมู) ที่เข้ามาเปิดตลาดในประเทศโดยขายสินค้าจากโรงงานตรงสู่ผู้บริโภคในราคาถูก ซึ่งเป็นการค้ารูปแบบใหม่ของจีน ยิ่งกดดันต่อการทำธุรกิจกับเอสเอ็มอี เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันทั้งด้านราคา และต้นทุนการผลิตที่สูงกว่าได้ทั้งนี้ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน และสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ได้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานและส่งเสริมธุรกิจไทย-จีน อย่างยั่งยืน เพื่อแก้ปัญหาการค้าและการลงทุนระหว่างไทยและจีน ให้อยู่ในกรอบของผลประโยชน์ร่วมกันภายใต้กรอบของกฎหมายของทั้งสองประเทศและกติกาสากล
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ที่ประชุม กกร. ได้แสดงความห่วงใยถึงสถานการณ์ภาคการผลิตที่หดตัว ถึงแม้ว่า 6 เดือน ของปี 2567 จะมีจำนวนการเปิดโรงงานขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีโรงงานเปิดกิจการกว่า 1,009 แห่ง เพิ่มขึ้น 122.67% จากช่วงเดียวกันปีก่อน พบว่าส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) แต่ในขณะเดียวกันจากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรมพบว่า มีโรงงานปิดตัวเพิ่มขึ้นในครึ่งปีแรกแล้วกว่า 667 แห่ง เพิ่มขึ้น 86.31% หรือเฉลี่ยเดือนละ 111 แห่ง และหากพิจารณามูลค่าโรงงานต่อโรงที่ปิดตัว พบว่ามีเงินทุนลดลงเหลือเฉลี่ยโรงงานละ 27.12 ล้านบาท
ข่าวต่างประเทศ
4. ญี่ปุ่นเกินดุลบัญชีเดินสะพัดครึ่งปีแรก แตะ 12.68 ล้านล้านเยน (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 8 สิงหาคม 2567)
กระทรวงการคลังญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 ญี่ปุ่นมียอดเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 12.68 ล้านล้านเยน (8.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยปัจจัยหนุนสำคัญมาจากสองส่วน คือ หนึ่ง ผลตอบแทนจากการลงทุนในต่างประเทศที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งได้อานิสงส์จากค่าเงินเยนที่อ่อนตัว และสอง การขาดดุลการค้าที่ลดลง โดยรายได้หลักของญี่ปุ่นเกินดุลอยู่ที่ 19.20 ล้านล้านเยน เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลตอบแทนพันธบัตรต่างประเทศที่สูงขึ้น ตัวเลขนี้ถือเป็นยอดเกินดุลรายได้หลักสูงสุดเป็นประวัติการณ์สำหรับรอบครึ่งปี ส่วนการขาดดุลการค้าของญี่ปุ่นลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง เหลือเพียง 2.61 ล้านล้านเยน เนื่องจากการส่งออกขยายตัว 6.7% แตะระดับ 50.61 ล้านล้านเยน ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นเพียง 1.1% แตะระดับ 53.22 ล้านล้านเยน
อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดถือเป็นหนึ่งในมาตรวัดการค้าระหว่างประเทศที่ครอบคลุมที่สุด โดยเงินเยนที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ เพราะทำให้ราคาสินค้านำเข้าทุกประเภทพุ่งสูงขึ้น ตั้งแต่พลังงาน วัตถุดิบ ไปจนถึงอาหาร แต่ในทางกลับกัน เงินเยนที่อ่อนค่าก็ส่งผลดีสองประการ คือ หนึ่ง ช่วยเพิ่มมูลค่าผลตอบแทนจากการลงทุน และสอง ส่งเสริมการท่องเที่ยวขาเข้า เพราะทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถมาเที่ยวและชอปปิงในญี่ปุ่นได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกลง โดยญี่ปุ่นทำสถิติเกินดุลการท่องเที่ยวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.6 ล้านล้านเยน นั่นหมายความว่า เงินที่นักท่องเที่ยวต่างชาติใช้จ่ายในญี่ปุ่นมีมูลค่ามากกว่าเงินที่ชาวญี่ปุ่นนำไปใช้จ่ายในต่างประเทศ
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)