ข่าวประจำวันที่ 24 ตุลาคม 2567

ข่าวในประเทศ

นายณัฐพล รังสิตพล

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. ปลัดอุตฯถกบอร์ดกองทุนเอสเอ็มอี ธุรกิจแห่ขอสินเชื่อเสือติดปีก 800 ล. (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 24 ตุลาคม 2567)

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เปิดเผยว่า ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 1/2568 ได้ติดตามการดำเนินโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) วงเงิน 1,200 ล้านบาท ซึ่งมีผู้ประกอบการยื่นคำขอสินเชื่อแล้ว กว่า 800 ล้านบาท ส่วนโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) วงเงิน 700 ล้านบาท มีผู้ประกอบการยื่นคำขอสินเชื่อแล้วกว่า 200 ล้านบาท พร้อมกำชับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือเอสเอ็มอีแบงก์ เร่งวิเคราะห์อนุมัติสินเชื่อให้เร็วขึ้น ทั้งนี้ สำหรับรูปแบบการให้สินเชื่อนั้น จะมีกรอบวงเงินรวม 1,200 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 15 ล้านบาทต่อราย และเป็นเงินกู้ระยะยาว อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3-5% ต่อปี (ขึ้นอยู่กับหลักประกัน) ระยะเวลากู้สูงสุด 10 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุด 12 เดือน มีหลักประกัน เช่น ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักร หรือหลักประกันทางธุรกิจหรือมีบุคคลค้ำประกัน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้ติดตามการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภัยพิบัติ ตามรายงานสถานการณ์สาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย (ข้อมูล ณ วันที่ 11 ตุลาคม 2567) ใน 11 จังหวัด คือเชียงราย เชียงใหม่ แพร่ น่าน พะเยา ลำพูน สุโขทัย ภูเก็ต อุดรธานี หนองคาย และ                    บึงกาฬ รวม 48 ราย มูลค่าความเสียหายประมาณ 35.21 ล้านบาท โดยความเสียหายที่เกิด ได้แก่ โรงงาน เครื่องจักร วัตถุดิบ เป็นต้น

 

A person sitting at a desk with a flag

Description automatically generated

นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล

อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์

 

2. กรมเจรจาฯ ชี้อาหารว่าง-ของทานเล่นมาแรงส่งออก (ที่มา: สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น., ประจำวันที่ 24 ตุลาคม 2567)

นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สินค้ากลุ่มอาหารว่างและของทานเล่น อาทิ เบเกอรี่ ขนมอบ ขนมปัง ขนมขบเคี้ยวและขนมหวาน ถือเป็นสินค้าดาวเด่นที่น่าจับตามอง เพราะตลาดเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ต้องการความสะดวกและรวดเร็วจึงหันมาบริโภคของทานเล่นเป็นอาหารรองท้องระหว่างมื้อมากขึ้น โดยในช่วง 8 เดือนแรก ปี 2567 ไทยส่งออกสินค้ากลุ่มอาหารว่างและของทานเล่นไปตลาดโลก มูลค่า 583 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 4%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยอาเซียนเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่ง สัดส่วนการส่งออกสินค้าอาหารว่างของไทยไปอาเซียนสูงถึง 36% ของการส่งออกสินค้าอาหารว่างทั้งหมด ทั้งนี้ ถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทยที่จะขยายการส่งออกไปตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี (FTA) ของไทยที่มีกับ 18 ประเทศคู่ค้า ซึ่งปัจจุบันสินค้ากลุ่มของว่างทานเล่น ของไทยทุกรายการสามารถส่งออกไปประเทศคู่ค้า FTA 14 ประเทศ โดยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าแล้ว ส่วนอีก 4 ประเทศ ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย และเปรู ได้ยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าส่วนใหญ่ให้ไทยแล้ว แต่ยังคงเก็บภาษีนำเข้าในบางรายการ

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสินค้ากลุ่มอาหารว่างและของทานเล่นของไทยได้รับความนิยมสูงในตลาดคู่ค้า FTA โดยในช่วง 8 เดือนแรก ปี2567 ไทยส่งออกสินค้าอาหารว่างและของทานเล่นไปตลาดคู่ FTAมูลค่า 372 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นสัดส่วน 64% ของการส่งออกสินค้ากลุ่มของว่างและของทานเล่นของไทยทั้งหมด ตลาดคู่ค้า FTA ที่ขยายตัวดี อาทิ อาเซียน ขยายตัว 8% จีน ขยายตัว 6% ออสเตรเลีย ขยายตัว 7% ญี่ปุ่น ขยายตัว 33% และเกาหลีใต้ ขยายตัว 11%

 

A person in a suit and tie

Description automatically generated

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

 

3. อีอีซีเนื้อหอมต่างชาติขนเงินลงทุนมากสุด (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 24 ตุลาคม 2567)

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-กันยายน 2567) การลงทุนจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) ยังคงขยายตัวต่อเนื่อง มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมจำนวน 1,449 โครงการ เพิ่มขึ้น 66% เงินลงทุนรวม 546,617 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% โดยประเทศ/เขตเศรษฐกิจที่มีมูลค่าขอรับการส่งเสริมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ สิงคโปร์ 180,838 ล้านบาท จีน 114,067 ล้านบาท ฮ่องกง 68,203 ล้านบาท ไต้หวัน 44,586 ล้านบาท และญี่ปุ่น 35,469 ล้านบาท ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนของสิงคโปร์ที่สูงขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนที่บริษัทแม่สัญชาติจีนและสหรัฐอเมริกาในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และ Data Center นำบริษัทลูกที่จดจัดตั้งในสิงคโปร์เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยในแง่พื้นที่เงินลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก 408,737 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ภาคกลาง 220,708 ล้านบาท ภาคเหนือ 35,452 ล้านบาท ภาคใต้ 25,039 ล้านบาท ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 23,777 ล้านบาท และภาคตะวันตก 8,812 ล้านบาท ตามลำดับ ทั้งนี้ ขณะที่คำขอรับการส่งเสริมการลงทุนภาพรวมช่วง 9 เดือน มีจำนวน 2,195 โครงการ เพิ่มขึ้น 46% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าเงินลงทุนรวม 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นยอดลงทุนที่สูงสุดในรอบ 10 ปี

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรืออีอีซี กล่าวว่า ได้นำคณะเดินทางเยือนประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 15-18 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อชักชวนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมบริการ ได้แก่ การบินและโลจิสติกส์ การศึกษา และอุตสาหกรรม Bio-Circular-Green (BCG) โดยเฉพาะด้านเกษตรอัจฉริยะ ระบบการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และพลังงานสะอาด ซึ่งในระหว่างการจัดกิจกรรม คณะผู้แทน สกพอ.ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทและหน่วยงานต่างๆ เช่น CAE, CDPQ, PSP, DIMONOFF & AMOTUS, McGill University INNOVEE เป็นต้น โดยได้นำเสนอศักยภาพและสิทธิประโยชน์สำหรับการลงทุนในประเทศไทย เพื่อชักชวนให้บริษัทเหล่านี้ลงทุนในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) พร้อมทั้งหารือความเป็นไปได้ในการขยายความร่วมมือด้านการลงทุนและการพัฒนาเทคโนโลยีรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย

 

ข่าวต่างประเทศ 

A blue and white logo

Description automatically generated

 

4. IMF คาดช่วง 5 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจโลกพึ่งพา BRICS หนัก จีนนำโด่งรันการเติบโต (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, ประจำวันที่ 24 ตุลาคม 2567)

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) เปิดเผยคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มที่จะพึ่งพากลุ่มบริกส์ (BRICS) ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโต มากกว่ากลุ่มประเทศตะวันตกที่มีฐานะร่ำรวย โดยการคาดการณ์ใหม่ล่าสุดของ IMF ซึ่งคำนวณบนฐานความเสมอภาคของอำนาจซื้อ (Purchasing power parity : PPP) คาดว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกตลอดช่วง 5 ปีข้างหน้าจะมาจากกลุ่มประเทศ BRICS ที่มีเศรษฐกิจแข็งแกร่ง อย่างเช่น จีน อินเดีย รัสเซีย และบราซิล ในทางตรงกันข้าม การคาดการณ์การมีส่วนสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกของประเทศสมาชิกกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (G7) เช่น สหรัฐ เยอรมนี และญี่ปุ่น ถูกปรับลดลง

อย่างไรก็ตาม ตามการคำนวณของบลูมเบิร์กที่ใช้คาดการณ์ใหม่ของ IMF พบว่า จีนจะเป็นประเทศที่มีส่วนขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกสูงสุดในช่วง 5 ปีข้างหน้า (จาก 2024 ถึง 2029) โดยมีส่วนแบ่ง 21.7% ในการสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยรวม ซึ่งมากกว่าทั้งกลุ่ม G7 รวมกัน และอินเดียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เติบโตเร็วที่สุด ซึ่งคาดว่าจะมีส่วนขับเคลื่อนการเติบโตเกือบ 14.8% ของการเติบโตของเศรษฐกิจโลกทั้งหมดจากปี 2024 จนถึงปี 2029               

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)