ข่าวในประเทศ
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. ยกเครื่องใบอนุญาตโรงงาน ขึ้นบัญชีดำผู้ประกอบการประวัติไม่ดี (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567)
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยผ่านการขับเคลื่อนด้วยนโยบาย "สู้ เซฟ สร้าง" สู้กับผู้ประกอบการที่ทำผิดกฎหมายทำร้ายประชาชนและสร้างมลพิษเซฟพี่น้องอุตสาหกรรมไทย สร้างความเท่าเทียม สร้างรายได้ สร้างโอกาส ในการแข่งขันทางธุรกิจ และสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจยุคใหม่ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เชื่อมโยงเศรษฐกิจโลก โดยกระทรวงอุตสาหกรรมได้เร่งยกระดับการบริการ ปรับบทบาทกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นการส่งเสริมสนับสนุน (Enable) อำนวยความสะดวก (Facilitate) ควบคู่ไปกับการตรวจสอบกำกับดูแลโรงงานตามกฎกติกาอย่างเข้มข้น (Regulate) เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมเติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชนและประชาชน ทั้งนี้ ได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) และสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ ปรับกลไกการอนุมัติอนุญาตโรงงานทั้งระบบ เช่น การออกใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน หรือ รง.4 การอนุญาตเกี่ยวกับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรม ภายใต้แนวคิด "เพิ่มแต้มต่อให้กับผู้ประกอบการที่ดี" โดยการขยายช่องว่างให้ผู้ประกอบการที่ดีได้รับการสนับสนุน ให้คำปรึกษา และจากเจ้าหน้าที่ในการบริการด้วยความรวดเร็วในทุกช่องทาง ขณะเดียวกันจะดำเนินการขึ้นบัญชี Blacklist ผู้ประกอบการที่มีประวัติไม่ดี เช่น บริษัทหรือกรรมการผู้จัดการที่เคยต้องโทษหรือดำเนินคดีมีการถูกร้องเรียน สร้างมลภาวะ หรือปล่อยมลพิษเกินเกณฑ์มาตรฐานออกนอกบริเวณโรงงาน มีการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมที่ไม่ถูกต้อง หรือเคยถูกสั่งการให้ต้องปรับปรุงแก้ไขโรงงาน เป็นต้น ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มนี้จะต้องถูกตรวจสอบ และพิจารณาข้อมูลตั้งแต่ประวัติการประกอบการในอดีต ทำเลที่ตั้ง การติดตั้งเครื่องจักร การผลิตที่ต้องมีความปลอดภัย มีระบบบำบัดมลพิษที่มีมาตรฐานและมีระบบบริหารจัดการกากที่มีประสิทธิภาพถูกต้องตามหลักวิชาการและสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายอย่างเข้มข้นและมีประสิทธิผล โดยจะดำเนินการอย่างเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายพรยศ กลั่นกรอง รองอธิบดี รักษาราชการแทนอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า กรอ. ได้ปรับปรุงกระบวนการอนุมัติอนุญาตโรงงานอย่างต่อเนื่อง โดยการปรับลดขั้นตอนให้สั้นลง ลดระยะเวลา และออกใบอนุญาตให้รวดเร็วขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มแต้มต่อให้กับผู้ประกอบธุรกิจภาคอุตสาหกรรมที่ดี นอกจากนี้ กรอ.ได้กำหนดระเบียบหลักเกณฑ์ที่รัดกุมในการออกใบอนุญาต รง.4 และการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมในอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น โรงงานที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดกำจัดกากอุตสาหกรรม ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบกับประชาชนและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังเป็นการยกระดับปรับปรุงกระบวนการอนุมัติอนุญาตโรงงานตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ด้วยการจัดทำบัญชี Blacklist ผู้ประกอบการที่มีประวัติไม่ดี จะนำไปสู่การปฏิรูปยกระดับการพิจารณาตรวจสอบและเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นเพื่อไม่ให้การประกอบกิจการโรงงานส่งผลกระทบร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและประชาชนในอนาคต ภายใต้กระบวนการพิจารณาและตรวจสอบกำกับอย่างโปร่งใส สามารถตรวจสอบติดตามได้ในทุกขั้นตอน
นายสุภกิจ เจริญกุล
ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือไอทีดี กระทรวงพาณิชย์
2. ไอทีดีเปิดตัว 'บีซีจีคอนเน็กซ์' ดันธุรกิจอาหารแห่งอนาคต (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567)
นายสุภกิจ เจริญกุล ผู้อำนวยการสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือไอทีดี กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ไอทีดีได้เปิดระบบ บีซีจีคอนเน็กซ์ เชื่อมต่อโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการขนาดเล็ก และเอสเอ็มอีในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปและสินค้าอาหารแปรรูปมูลค่าเพิ่มสูง อาทิ กลุ่มอาหารแห่งอนาคต ได้แก่ อาหารนวัตกรรมใหม่ อาหารออร์แกนิก อาหารทางการแพทย์ อาหารเสริมสุขภาพ โดยให้สามารถจับคู่สร้างนวัตกรรมทางธุรกิจ ตั้งแต่นักลงทุนกับนักวิจัยอุตสาหกรรมอาหาร หน่วยงานภาครัฐ และคู่ค้าทางธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับบีซีจี เพื่อสร้างโอกาสในประเทศและส่งออกไปขายต่างประเทศเพิ่ม ทั้งนี้ สำหรับรูปแบบการทำงานของบีซีจีคอนเน็กซ์ https://bcgconnex.com จะเปิดโอกาสให้เอสเอ็มอีที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปและกลุ่มสินค้าอาหารแปรรูปมูลค่าเพิ่มเข้ามาลงทะเบียนเพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา และเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสินค้าบีซีจี ทั้งผู้ซื้อผู้นำเข้า ผู้ที่สนใจ ได้เข้ามาดูสินค้า เลือกซื้อสินค้า หรือการร่วมลงทุนเพื่อต่อยอดการทำธุรกิจ และยังมีเชื่อมโยงข้อมูลที่สำคัญต่างๆ ทั้งงานวิจัยนวัตกรรม โอกาสทางการตลาด การเข้าถึงแหล่งเงินทุน
อย่างไรก็ตาม สำหรับการเปิดตัวบีซีจีคอนเน็กซ์ครั้งนี้เป็นการใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้งด้านการเข้าถึงข้อมูลเงินทุน การเข้าถึงตลาด และเข้าถึงความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านอาหารแปรรูป ข้อมูลข่าวสารการตลาดที่ทันสมัย ทั้งที่เกี่ยวข้องกับมาตรการด้านสุขภาพและมาตรฐานสินค้าอาหาร ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค ช่วยเชื่อมโยงระหว่างแหล่งเงินทุนสมัยใหม่ กองทุนร่วมทุนกับผู้ประกอบการ และเชื่อมโยงการค้าที่เป็นภาคธุรกิจเพื่อนำไปสู่การค้าขายระหว่างกันในระยะยาว
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
3. บริโภค 'โกโก้-ช็อกโกแลต' พุ่ง 'แคนาดา-อาหรับ' ตลาดทำเงิน (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567)
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การค้าสินค้าโกโก้และช็อกโกแลตของโลกและไทย โดยจากข้อมูลของ ศูนย์ส่งเสริมการนำเข้าจากประเทศกำลังพัฒนา (CBI) ของสหภาพยุโรป ระบุว่า ตลาดโกโก้และช็อกโกแลตเติบโตดีในโลก รวมถึงไทย ปี 2566 ตลาดเมล็ดโกโก้ทั่วโลก 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มเป็น 22,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2571 หรือโตเฉลี่ยปีละ 7% ตลาดช็อกโกแลตทั่วโลก ปี 2565-2573 โตเฉลี่ย 4.4% ซึ่งตั้งแต่ปี 2566 ถึงกลางปี 2567 เกิดเอลนีโญภัยแล้ง ในพื้นที่ปลูกโกโก้ ส่งผลให้ผลผลิตโกโก้ของโลกลดลง และราคาโกโก้ในตลาดโลกสูงขึ้น โดยเดือนตุลาคม 2567 ราคาโกโก้ในตลาดโลก 6.6 เหรียญสหรัฐ/กิโลกรัม เพิ่ม 83.3% ทั้งนี้ จากข้อมูลองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า การผลิตโกโก้ ปี 2565 ประเทศผู้ผลิตอันดับแรกของโลก ได้แก่ โกตติวัวร์ 37.9% กานา 18.8% อินโดนีเซีย 11.3% ส่วนไทยผลิต 1,256 ตัน สัดส่วนเพียง 0.02% สำหรับปี 2566 ไทยผลิต 3,360 ตัน จาก 1,256 ตันในปีก่อน หรือขยายตัว 167.6% ส่วนใหญ่ปลูกในนครศรีธรรมราช พัทลุง และระนอง การค้าเมล็ดโกโก้ของโลก ปี 2566 ประเทศผู้ส่งออกเมล็ดโกโก้สูงสุด ได้แก่ โกตดิวัวร์ เอกวาดอร์ กานา ขณะที่ไทยส่งออก 0.12 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอันดับ 68 ของโลก และประเทศผู้นำเข้าเมล็ดโกโก้สูงสุด ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ มาเลเซีย เยอรมนี สำหรับไทย นำเข้า 0.02 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอันดับ 90 ของโลก
อย่างไรก็ตาม สำหรับสถานการณ์การค้าโกโก้และของปรุงแต่งของไทยปี 2566 ไทยส่งออก 87 ล้านเหรียญสหรัฐ (3,004 ล้านบาท) ช่วง 9 เดือนแรก 2567 ส่งออก 74 ล้านเหรียญสหรัฐ (2,630 ล้านบาท) เพิ่ม 16.4% ตลาดสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน ตลาดขยายตัวดี ได้แก่ แคนาดา 392% สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 90.7% สหรัฐ 46.3%
ข่าวต่างประเทศ
4. เงินเฟ้ออาร์เจนตินาเดือนต.ค.ลดต่ำกว่า 200% เป็นครั้งแรกในรอบเกือบปี (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567)
สำนักงานสถิติแห่งชาติ INDEC เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อของอาร์เจนตินารายเดือนชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 2.7% ในเดือนตุลาคม จาก 3.5% ในเดือนกันยายน ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 ขณะที่อัตราเงินเฟ้อรายปีลดลงต่ำกว่า 200% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว โดยในเดือนตุลาคม ค่าเช่าบ้านรวมถึงค่าน้ำค่าไฟเพิ่มขึ้น 5.4% ส่วนค่าเดินทาง ค่าอาหาร และ ค่าเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เพิ่มขึ้นแค่ 1.2% จากเดือนกันยายน แม้ตัวเลขจะดูดีขึ้น แต่ชาวอาร์เจนตินาก็ยังยากลำบาก เนื่องจากต้องประหยัดมากๆ เพื่อให้มีเงินพอใช้ไปได้ตลอดเดือน ทั้งนี้ รัฐบาลตัดงบช่วยเหลือค่าบริการสาธารณะต่างๆ พร้อมกับปลดคนทำงานราชการออกมากขึ้น ราคาสินค้าแพงขึ้นเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอย่างมาก ทำให้เงินที่ประชาชนมีอยู่ซื้อของได้น้อยลง
อย่างไรก็ตาม ทางด้านข้อมูลของกลุ่มอุตสาหกรรม Ciccra ระบุว่า ชาวอาร์เจนตินาซื้อเนื้อวัวน้อยลง ทั้งที่เมื่อก่อนประเทศนี้กินเนื้อวัวกันมาก เพราะประธานาธิบดีฆาบิเอร์ มิเลย์ ยกเลิกกฎควบคุมราคาเนื้อของรัฐบาลชุดก่อน ทำให้ช่วงครึ่งปีแรก มีจำนวนคนกินเนื้อวัวน้อยที่สุดในรอบ 13 ปี
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)