ข่าวประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567

ข่าวในประเทศ

นายณัฐพล รังสิตพล

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. ก.อุตฯ ติวเข้มดิจิทัล-ยั่งยืนให้เอสเอ็มอี (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567)

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เปิดเผยว่า ผลสำรวจ SME Digital Maturity Survey 2023 ชี้ชัดว่าเอสเอ็มอีไทยอยู่ในระดับ "Digital Follower" พร้อมเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในระดับปานกลาง โดยเฉพาะขนาดกลางและภาคการผลิตที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ด้านการตลาด การเงินและบัญชี และการขายมากที่สุด ล่าสุดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ อัดฉีดงบกว่า 10 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเอสเอ็มอีไทยกว่า 200 ราย สร้างรายได้เพิ่ม ลดต้นทุน และรักษาสิ่งแวดล้อม ผ่าน 2 โครงการสำคัญ คือ 1. โครงการพัฒนาธุรกิจด้วยดิจิทัลสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีใหม่ (Digital Transformation) ยกระดับขีดความสามารถเอสเอ็มอี ในการปรับเปลี่ยนกระบวนการทางธุรกิจและการบริหารจัดการโดยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มีเอสเอ็มอี 100 กิจการ สาขาอุตสาหกรรมเอส-เคิร์ฟ ดิจิทัล เกษตรแปรรูป อาหารแปรรูป แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ และอุตสาหกรรมอื่นที่มีความต้องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และ 2. โครงการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตอย่างยั่งยืน (Sustainable Productivity) เพื่อปรับปรุงกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดต้นทุน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอย่างยั่งยืน มีเอสเอ็มอี 100 กิจการ สาขาอุตสาหกรรมเอส-เคิร์ฟ ดิจิทัล เกษตรแปรรูป อาหารแปรรูป แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ และอุตสาหกรรมอื่นที่มีการใช้พลังงานสิ้นเปลือง หรือมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ซึ่งเอสเอ็มอีจะได้รับคำปรึกษาแนะนำเพื่อปรับใช้และเตรียมความพร้อมในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล หรือการปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ยั่งยืน รวมไปถึงการสนับสนุนด้านเงินทุน ผ่านสินเชื่อจากกองทุนฯ เพื่อพัฒนาต่อยอดธุรกิจ ด้วยการลดค่าใช้จ่ายพลังงาน เพิ่มรายได้และขยายโอกาสการค้าของเอสเอ็มอีที่เข้าร่วมโครงการสู่ตลาดสากล คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 62 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม สำหรับการดำเนินงานดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ต้องการให้เซฟอุตสาหกรรมไทย สร้างความเท่าเทียมในการแข่งขัน ยกระดับเอสเอ็มอีไทยให้เติบโตแข็งแกร่ง เน้นเสริมสร้างความสามารถด้านดิจิทัล ความพร้อมในด้านการผลิตที่ยั่งยืน เข้าถึงแหล่งเงินทุน ดอกเบี้ยต่ำ ประเมินผลด้วย Green Productivity Measurement สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติ ในการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว

 

A person in a suit and tie

Description automatically generated

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)

 

2. 'พิชัย' นำทีม BOI โรดโชว์จีน ดึงลงทุนแบตเตอรี่-อิเล็กทรอนิกส์ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567)

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 19-22 พฤศจิกายน 2567 นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการส่งเสริมการลงทุนจะนำคณะ BOI พร้อมด้วยผู้แทนภาคเอกชน เดินทางไปโรดโชว์ส่งเสริมการลงทุน ณ นครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยจะพบหารือกับนายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ เพื่อกระชับความสัมพันธ์ และยกระดับความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุน ในวาระที่จะครบรอบ 50 ปี แห่งมิตรภาพความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ในปี 2568 พร้อมผนึกกำลังองค์กรส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศของจีน (China Council for the Promotion of International Trade : CCPIT) และ Bank of China จัดงานสัมมนาใหญ่ "Thailand- China Investment Forum 2024" ในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2567 ที่นครเซี่ยงไฮ้ ทั้งนี้ เพื่อแสดงศักยภาพและความพร้อมของประเทศไทยในการรองรับการลงทุนจากจีน ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนจีนให้ความสนใจลงทะเบียนเข้าร่วมงานสัมมนากว่า 500 คน จากหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน แบตเตอรี่ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ดิจิทัล เครื่องจักรและอุปกรณ์ ผลิตภัณฑ์โลหะและวัสดุ เป็นต้น โดยภายในงานสัมมนา นายพิชัย และเลขาธิการ BOI จะนำเสนอศักยภาพและโอกาสการลงทุนในไทย รวมทั้งสิทธิประโยชน์และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ นอกจากนี้ จะมีผู้บริหารจากภาคเอกชนชั้นนำร่วมบรรยายถ่ายทอดประสบการณ์และความสำเร็จของการทำธุรกิจในไทย เช่น Bank of China,บริษัท Haier ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะรายใหญ่ มีการลงทุนในไทยรวมกว่า 16,000 ล้านบาท, บริษัท Westwell Technology ผู้นำด้าน AI และ Digital Green Logistics โดยได้นำเทคโนโลยี AI มาใช้ยกระดับธุรกิจต่างๆ เช่น การพัฒนาท่าเรืออัจฉริยะในไทย อีกทั้งมีผู้แทนภาคเอกชนไปร่วมออกบูธให้ข้อมูลด้านการลงทุนและโอกาสการร่วมมือทางธุรกิจกับบริษัทไทย ประกอบด้วยกลุ่มธนาคาร เช่น ธนาคารกรุงเทพ กสิกรไทย และไทยพาณิชย์ และกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เช่น นิคม WHA, TRA, TFD, เอส, โรจนะ และนิคม 304

อย่างไรก็ตาม ไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นฐานการผลิตหลักของจีนในภูมิภาคอาเซียน โดยในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ได้มีคลื่นการลงทุนลูกใหม่จากจีนเข้ามาสู่ไทย โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง อย่างการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) กิจการ Data Center และ Cloud Service สำหรับการเยือนจีนครั้งนี้จะเน้นดึงการลงทุนในกลุ่มแบตเตอรี่และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ต้นน้ำที่จะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับซัพพลายเชน และต่อยอดกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้เข้ามาลงทุนแล้ว โดยจะเชิญชวนให้นักลงทุนจีนพิจารณาการร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทย รวมถึงเพิ่มสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนและวัตถุดิบจากผู้ผลิตในประเทศด้วย ทั้งนี้ ในปี 2566 มีโครงการจากจีนยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุน 416 โครงการ เงินลงทุน 158,121 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 1 ในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ในขณะที่ 9 เดือนแรกปี 2567 จีนขอรับส่งเสริม 554 โครงการ เงินลงทุน 114,067 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% ส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ผลิตภัณฑ์โลหะและวัสดุ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

 

นายดนุชา พิชยนันท์

เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)

3. จีดีพีไตรมาส 3 โตได้ถึง 3% - คาดทั้งปีขยายตัว 2.6% (ที่มา: ข่าวสด, ประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567)

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 3 ของปี 2567 ขยายตัว 3.0% เร่งขึ้นจากการขยายตัว 2.2% ในไตรมาส 2 ปี 2567 ปัจจัยหลักมาจากการผลิตนอกภาคเกษตรที่ขยายตัวเร่งขึ้นตามตามการขยายตัวของกลุ่มบริการ ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมการผลิตชะลอตัวและภาคการเกษตรปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ด้านการใช้จ่าย การส่งออกสินค้าและบริการ การอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาล และการลงทุนเร่งขึ้น ขณะที่การอุปโภคบริโภคขั้นสุดท้ายของเอกชนชะลอตัว ทำให้ในช่วง 9 เดือนแรกขยายตัว 2.3% โดยมีปัจจัยหลายตัวเริ่มขยายตัวดีขึ้น ทั้งการบริโภคเอกชน เติบโต 3.4% การลงทุนโดยรวมขยายตัว 5.2% โดยภาครัฐลงทุนเพิ่ม 25.9% จากการเร่งรัดการเบิกจ่ายในช่วงที่ผ่านมา ปริมาณการส่งออกขยายตัว 8.9% และคาดว่าจีดีพีแนวโน้มไตรมาส 4 ยังขยายตัวต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัว 2.6% ปรับตัวดีขึ้นจากเดิม 1.9% ในไตรมาสก่อนหน้า อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะอยู่ที่ 0.5% ส่วนแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2568 คาดว่าจะขยายตัว 2.3-3.3% (ค่ากลางของการประมาณการอยู่ที่ 2.8%) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1. การเพิ่มขึ้นของรายจ่ายภาครัฐ 2. การขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนในประเทศ 3. การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว และ 4. การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการส่งออกสินค้า ทั้งนี้ คาดว่าการบริโภคและ การลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัว 3.0% และ 2.8% ตามลำดับ การส่งออกขยายตัว 2.6% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ในช่วง 0.3-1.3%

 

ข่าวต่างประเทศ 

 

4. รัฐบาลอินเดียงัดข้อแบงก์ชาติ หวั่นมาตรการกันสำรองกระทบเศรษฐกิจ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567)

รัฐบาลอินเดีย เปิดเผยว่า รัฐบาลและธนาคารกลางอินเดีย (RBI) กำลังมีความขัดแย้งกันเกี่ยวกับข้อเสนอของ RBI ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอินเดีย ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา RBI เสนอให้ธนาคารพาณิชย์จะต้องทำการกันสำรอง 5% ต่อเงินกู้ที่ปล่อยให้กับโครงการสาธารณูปโภคซึ่งกำลังมีการก่อสร้าง ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์หลายแห่งพากันร้องเรียนต่อรัฐบาล เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นสำหรับโครงการดังกล่าว นอกจากนี้ ในเดือนกรกฎาคม 2567 RBI ได้เสนอให้ธนาคารพาณิชย์จะต้องเพิ่มการกันสำรอง 5% สำหรับเงินฝากของลูกค้ารายย่อยที่สามารถเบิกถอนผ่านระบบออนไลน์ เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์สามารถรองรับกรณีการถอนเงินจำนวนมากผ่านระบบอินเทอร์เน็ตและโมบายล์แบงกิ้ง ซึ่งข้อเสนอดังกล่าวของ RBI จะทำให้ธนาคารต่างๆ ต้องถือครองสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องมากขึ้น เช่น พันธบัตรรัฐบาล ซึ่งจะกระทบต่อเงินทุนที่ธนาคารสามารถปล่อยกู้แก่ลูกค้า

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอทั้ง 2 ของ RBI ยังคงไม่มีการบังคับใช้แต่อย่างใด ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ส่งหนังสือแจ้ง RBI ว่า RBI ควรผ่อนคลายข้อเสนอดังกล่าว เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อระบบสินเชื่อในเศรษฐกิจ โดย RBI ควรพิจารณาประเด็นการเพิ่มการกันสำรองเป็นแต่ละอุตสาหกรรมแตกต่างกันไป โดยขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละอุตสาหกรรม และควรสร้างความสมดุลระหว่างความต้องการสินเชื่อของระบบเศรษฐกิจและสถานะของระบบธนาคาร ส่วนการกันสำรองสำหรับเงินฝากธนาคารนั้น กระทรวงการคลังเสนอให้ RBI กำหนดการกันสำรองสำหรับประเภทของเงินฝากที่มีแนวโน้มถูกถอนออกจำนวนมาก แต่ไม่ควรกำหนดการกันสำรองที่มีผลบังคับกับเงินฝากทุกประเภท                    

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)