ข่าวในประเทศ
นายณัฐพล รังสิตพล
ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
1. ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ (ที่มา: สยามรัฐ, ประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567)
นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทยสามารถโน้มน้าวจูงใจให้ประเทศคู่ค้า ผู้สนใจลงทุน ผู้สนใจซื้อสินค้าและบริการ นักท่องเที่ยว หรือผู้หาที่จัดงาน MICE ตัดสินใจเลือกประเทศไทย หรือ สินค้าและบริการของไทยผ่านการส่งสารโดยอาศัยพลังทางอ้อม หรือ Soft Power ที่ไม่ใช่การพูดหรือโฆษณาโดยตรง แต่เป็นการสื่อสารว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่น่าลงทุน น่าใช้ชีวิต คนไทยเป็นคนน่ารัก มีศิลปะและวัฒนธรรม มีความละเอียดอ่อน มีความใส่ใจในสินค้าคุณภาพในทุกๆ ช่องทางการสื่อสาร ทั้งนี้ นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของประเทศไทย ช่วงแรกจะเน้นการพัฒนาการสื่อสารพลังทางอ้อมนี้ ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ 1) ละคร/ภาพยนตร์ 2) แฟชั่น 3) อาหาร 4) งาน festival 5) กีฬามวยไทย ดังนั้นกระทรวงอุตสาหกรรม นำโดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มีนโยบายในการปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใสผนวกกับนโยบายการเร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ หรือซอฟต์พาวเวอร์ จึงได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) ดำเนินการตามยุทธศาสตร์การพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์ ทั้งด้านอุตสาหกรรมแฟชั่น และอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมหลักสำคัญที่ส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย ในด้านการสร้างรายได้และการจ้างงาน
อย่างไรก็ตาม ดีพร้อมได้เล็งเห็นความสำคัญของอุตสาหกรรมแฟชั่น ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการประชาสัมพันธ์และสร้างการรับรู้ถึงศักยภาพของอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย ตามแนวคิด Fun & Freedom แฟชั่นไทย ใส่ยังไงก็สนุก ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติพูดถึงประเทศไทย จึงได้มีแนวคิดในการสร้างคุณค่าและมูลค่าเพิ่มบนฐานของทุนทางวัฒนธรรม อัตลักษณ์ และภูมิปัญญาท้องถิ่น เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยว รวมถึงเทคนิคและเครื่องมือการโน้มน้าวและสื่อสาร สร้างกระแสให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักผ่านการสื่อสารพลังทางอ้อมของประเทศไทย อาทิ การสร้างคอนเทนต์ การเล่าเรื่องการสร้างแบรนด์ การใช้สื่อโซเชียลมีเดีย การใช้บุคคลที่มีอิทธิพลทางความคิด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการเชื่อมโยงและบูรณาการ Soft Power ข้ามอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการสร้างกระแส Soft Power ด้านแฟชั่น
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม
อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
2. กรมพัฒน์ผนึกกำลังส.อ.ท. ยกระดับศักยภาพการแข่งขัน SME (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567)
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงผลการหารือกับนายอภิชิต ประสพรัตน์ ประธานสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (SMI) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) พร้อมคณะกรรมการ ว่าได้หารือร่วมกันถึงการวางแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ให้สามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้อย่างสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และตรงตามความต้องการ เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่ SME กำลังเผชิญอยู่ และยกระดับขีดความสามารถด้านการแข่งขันของ SME ไทย ทั้งนี้ กรมได้ชี้แจงว่ามีกิจกรรมที่ช่วยเสริมแกร่งให้ SME ในหลายด้าน อาทิ การเสริมสร้างองค์ความรู้และพัฒนาทักษะการบริหารจัดการธุรกิจผ่าน DBD Academy การสร้างโอกาสทางการตลาด ส่งเสริมการค้าออนไลน์ (e-Commerce) การยกระดับธุรกิจแฟรนไชส์ สินค้าชุมชน รวมถึงมีแพลตฟอร์ม e-Service ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ เช่น DBD SMEs 360 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลที่รวบรวมเครื่องมือในการบริหารจัดการและการดำเนินธุรกิจไว้ในที่เดียว เพื่อให้ง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน รวมถึงช่วยลดต้นทุนในการประกอบธุรกิจ และ DBD Data Warehouse ที่สามารถช่วยตรวจสอบข้อมูลคู่ค้าได้ เป็นต้น ซึ่งการจับมือกันของ 2 หน่วยงาน จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนและสร้างความเข้มแข็งให้แก่ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะการส่งเสริมพัฒนาให้ SME ไทยสามารถเข้าถึงบริการภาครัฐได้อย่างสะดวก ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของรัฐบาล เนื่องจาก SMEมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ การสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเติบโตของ SME จะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยในระดับสากล
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายอภิชิต ประสพรัตน์ ประธานสถาบันวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมอุตสาหกรรมการผลิต (SMI) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) กล่าวว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการ SME ไทยส่วนใหญ่ ยังขาดองค์ความรู้ และการเข้าถึงบริการของภาครัฐ สภาอุตสาหกรรมฯ จึงมีนโยบายเพิ่มขีดความสามารถ SME ด้วย 4GO คือ GO Digital&AI, GO Innovation, GO Green และ GO Global พร้อมนำเสนอแผนการจัดกิจกรรมต่างๆ อาทิ 1. การแนะนำการใช้บริการผ่านระบบ E-Service 2. การตรวจสอบข้อมูลคู่ค้า (นิติบุคคล)เพื่อทำนิติกรรมสัญญาและธุรกรรม 3. การจัดงาน FTI EXPO 2025 4. FTI Mobile Market Roadshow และ 5. FTI SME We care "FTI ชี้ทางรอด"
นายจุฬา สุขมานพ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี
3. เคาะธุรกรรมการเงินในอีอีซี (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567)
นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการอีอีซี ได้เห็นชอบเรื่องสิทธิประโยชน์ในการทำธุรกรรมทางการเงิน สำหรับผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. . เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการได้รับสิทธิประโยชน์ของผู้ประกอบกิจการในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษในการทำธุรกรรมการเงิน โดยอีอีซีได้ตกลงร่วมกับ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อกำหนดให้สิทธิแก่ผู้ประกอบกิจการให้สามารถส่งคืนเงินทุน เงินกู้ยืมที่นำมาเริ่มต้นกิจการ หรือค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจจากเงินทุนที่นำมาลงทุนในกิจการที่ได้รับสิทธิประโยชน์ได้ รวมทั้งให้นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ ขณะเดียวกันยังให้กู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงินตราต่างประเทศกับกิจการในเครือและกิจการอื่นที่ความสัมพันธ์ในเชิงห่วงโซ่อุปทานได้นอกจากนี้ผู้ประกอบกิจการในอีอีซีไม่ต้องนำเงินได้เงินตราต่างประเทศที่ได้จากการส่งออกหรือรายได้นอกประเทศกลับเข้าไทย สำหรับกรณีเงินได้ที่ไม่เกิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และสุดท้ายคือ การใช้เงินตราต่างประเทศเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการระหว่างผู้ประกอบกิจการฯ ด้วยกัน เพื่อเพิ่มความสะดวกคล่องตัวให้ ผู้ประกอบกิจการและเพิ่มทางเลือกในการบริหารจัดการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบร่างระเบียบเกี่ยวกับการบริหารงานของ สกพอ. 3 ฉบับ ได้แก่ 1. ร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การใช้ที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2. ร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ว่าด้วยการอุทธรณ์คำสั่งของเลขาธิการ ตามมาตรา 43 แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 และ 3. ร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง กำหนดค่าบริการในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติ อนุญาต ออกใบอนุญาต ให้ความเห็นชอบ รับจดทะเบียน หรือรับแจ้งในเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. ...
อย่างไรก็ตาม อีกทั้งที่ประชุมยังเห็นชอบ แผนขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคส่วนกลาง โครงการศูนย์ธุรกิจอีอีซี และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ เพื่อให้เป็นกรอบในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค และยังได้รับทราบความก้าวหน้าการ ดำเนินงานโครงการศูนย์ธุรกิจอีอีซีและเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ เกี่ยวกับการจ่ายเงินชดเชยที่ดิน ซึ่ง สกพอ. ได้จ่ายค่าชดเชยให้กับผู้มีสิทธิใช้ประโยชน์ในที่ดิน ส.ป.ก. แล้ว พื้นที่ประมาณ 4,916 ไร่และยังเห็นชอบการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ ศูนย์การแพทย์และสุขภาพ ปลวกแดง (EECmhp) ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินราชพัสดุ เนื้อที่ประมาณ 26 ไร่ บริเวณอำเภอปลวกแดง จังหวัดระยอง เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษด้านการแพทย์และสุขภาพครบวงจร ส่งเสริมการลงทุน และดึงดูดความสนใจของเอกชนที่จะมาร่วมลงทุน
ข่าวต่างประเทศ
4. IMF เตือน การขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้กันไปมา อาจทำศก.เอเชียสะดุด (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 20 พฤศจิกายน 2567)
นายกฤษณะ ศรีนิวาสัน ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เอเชียแปซิฟิก เปิดเผยว่า การขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้กันไปมาอาจบั่นทอนโอกาสทางเศรษฐกิจของเอเชีย เพิ่มต้นทุน และกระทบห่วงโซ่อุปทาน แม้ IMF คาดการณ์ว่าภูมิภาคนี้จะยังคงเป็นกำลังขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจโลก ซึ่งการขึ้นภาษีนำเข้าตอบโต้กันไปมามีความเสี่ยงที่จะกระทบต่อโอกาสการเติบโตทั่วทั้งภูมิภาค ทำให้ห่วงโซ่อุปทานยืดเยื้อขึ้นและมีประสิทธิภาพน้อยลง ทังนี้ สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า คำเตือนของศรีนิวาสันเกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับแผนการของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีน 60% และสินค้านำเข้าอื่นๆ อย่างน้อย 10% โดยภาษีนำเข้าอาจเป็นอุปสรรคต่อการค้าโลก ฉุดการเติบโตของประเทศที่เน้นการส่งออก และอาจทำให้เงินเฟ้อในสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะบีบให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องขึ้นดอกเบี้ย แม้ว่าแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะยังไม่สดใสก็ตาม
อย่างไรก็ตาม IMF คาดการณ์ในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก (World Economic Outlook) ฉบับล่าสุดว่า เศรษฐกิจโลกจะโต 3.2% ทั้งในปี 2567 และ 2568 ซึ่งต่ำกว่าที่เคยคาดไว้สำหรับเอเชียที่ 4.6% ในปีนี้และ 4.4% ในปีหน้า ทั้งนี้ เอเชียกำลังอยู่ใน "ช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ" ซึ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้น รวมถึง "ความเสี่ยงร้ายแรง" จากความตึงเครียดทางการค้าที่เพิ่มขึ้นระหว่างประเทศคู่ค้ารายใหญ่ โดยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการเงินในประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้าและความคาดหวังของตลาดอาจส่งผลต่อการตัดสินใจด้านนโยบายการเงินในเอเชีย ซึ่งจะกระทบต่อกระแสเงินทุนโลก อัตราแลกเปลี่ยน และตลาดการเงินอื่นๆ
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)