ข่าวประจำวันที่ 13 มกราคม 2568

ข่าวในประเทศ

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1.เอกนัฏ หนุนเปลี่ยนใบอ้อยเป็นเงิน สร้างรายได้เกษตรกร วอนหยุดเผาช่วยลดฝุ่น PM 2.5 (ที่มา: มติชนออนไลน์, ประจำวันที่ 13 มกราคม 2568)

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยเมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมาว่า ตามที่ตนได้มอบนโยบายให้สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) ปฏิรูปอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทราย เพื่อสร้างอุตสาหกรรมเศรษฐกิจใหม่ที่มีความยั่งยืนในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ซึ่งคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) ได้มีมติเห็นชอบให้ปรับเปลี่ยนแนวทางและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 โดยได้เสนอของบประมาณจากรัฐบาลกว่า 7,000 ล้านบาท เพื่อสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสด 100% ซึ่งจะมีการจ่ายเงินสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยเฉพาะเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสด และเพิ่มราคารับซื้อใบและยอดอ้อย เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบด้านพลังงานป้อนโรงงานผลิตไฟฟ้าชีวมวลหรือโรงงานที่ใช้พลังงานชีวมวล ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยอย่างยั่งยืน เนื่องจากจะทำให้ชาวไร่อ้อยเห็นคุณค่าและช่องทางในการสร้างมูลค่าเพิ่มของใบและยอดอ้อย ทำให้ลดการเผาใบและยอดอ้อยอย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ด้านนายใบน้อย สุวรรณชาตรี เลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กล่าวว่า ภายหลังจากที่ สอน. ได้ทำจดหมายขอความร่วมมือไปยังโรงงานน้ำตาลทั้ง 58 แห่ง ให้รับเฉพาะอ้อยสดเข้าหีบ โดยชะลอ ระงับ ยับยั้ง และยุติการเผาไร่อ้อย พร้อมทั้งยุติการรับอ้อยเผาไฟเข้าหีบ ระหว่างวันที่ 3 มกราคม 2568 เวลา 00.01 น. จนถึงวันที่ 12 มกราคม 2568 เวลา 23.59 น. เพื่อเป็นของขวัญวันเด็กสำหรับเยาวชนไทยทั้งประเทศ ซึ่งที่ผ่านมา ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากเกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาล สะท้อนได้จากสถานการณ์อ้อยเข้าหีบของโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศ ณ วันที่ 8 มกราคม 2568 ที่มีตัวเลขอ้อยถูกเผาอยู่ในระดับคงที่กว่า 4 ล้านตัน คิดเป็น 20.18% ของปริมาณอ้อยที่รับเข้าหีบทั้งหมดกว่า 19 ล้านตัน

 

A person in a suit

Description automatically generated

นายนภินทร ศรีสรรพางค์

รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์

 

2. ลุยเอ็มโอยูแพลตฟอร์มยักษ์ (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 13 มกราคม 2568)

นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ปัญหาสินค้านำเข้าราคาถูก และไม่ได้มาตรฐานว่า หลังจากกระทรวงพาณิชย์ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการระยะสั้นตั้งแต่เดือนกันยายน - ธันวาคม 2567 ไปแล้ว ขณะนี้ อยู่ระหว่างดำเนินมาตรการระยะกลาง และยาว โดยเร็วๆ นี้จะมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) กับแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ของในและต่างประเทศ เพื่อร่วมกันทำมาตรการเสริมจากการคุมเข้มสินค้านำเข้าไม่ได้คุณภาพมาตรฐานจากด่านศุลกากร เพื่อปกป้องผู้บริโภคไม่ให้เข้าถึงสินค้าไม่ได้คุณภาพและมาตรฐาน โดยแพลตฟอร์มออนไลน์ รวมถึงโซเชียลมีเดีย ที่ตั้งเป้าหมายจะลงนามร่วมกัน เช่น ช้อปปี้ ลาซาด้า ติ๊กต็อก ขายดี อีเบย์ อเมซอน ไลน์ เฟซบุ๊ก ไอจี โดยคาดว่าจะมีการลงนามเอ็มโอยูระหว่างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มออนไลน์ ต่างๆ ในเร็วๆ นี้ สำหรับมาตรการเสริมที่จะทำ คือ หากมีการนำสินค้าไม่ได้มาตรฐาน สินค้าผิดกฎหมาย สินค้าที่ใช้ข้อความโฆษณาอันเป็นเท็จ หลอกลวงผู้บริโภค สินค้าที่ไม่ติดฉลากภาษาไทย สินค้าไม่มีเครื่องหมายรับรองมาตรฐานผลิตภัณฑ์ สินค้าปลอม ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา มาขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ หน่วยงานที่กำกับดูแล ทั้งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กรมทรัพย์สินทางปัญญา จะแจ้งเตือนไปยังแพลตฟอร์ม เพื่อขอความร่วมมือให้นำสินค้าดังกล่าวออกจากลิสต์สินค้า ซึ่งจะช่วยคุ้มครองผู้บริโภคไม่ให้เข้าถึงสินค้าไม่ได้มาตรฐานได้ ทั้งนี้ กรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ จะเป็นหน่วยงานหลักในการประสานติดตาม รวมทั้งแก้ปัญหาอุปสรรคจากการดำเนินการตามเอ็มโอยู และกำหนดให้แต่ละหน่วยงานรายงานผลดำเนินการทุกเดือน ซึ่งจะมีการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ที่มีนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานทุก 3 เดือน

อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนปฏิบัติกวาดล้างนอมินีระยะกลางและยาวนั้น ทุกหน่วยงานยังคงบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ทั้งตรวจสอบ สอบสวน ดำเนินคดีผู้กระทำผิด นอกจากนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กำลังพัฒนาระบบวิเคราะห์แนวโน้มพฤติกรรมของนิติบุคคล เพื่อป้องกันและปราบปรามนอมินี รวมถึงเพื่อให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย มีระบบส่งต่อและเชื่อมโยงข้อมูลป้องปรามนอมินีระหว่างกัน ส่วนระยะยาว สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) จะแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าไม่รับจดทะเบียนบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงตามกฎหมาย ปปง. เช่น อาชญากรข้ามชาติ ที่มีชื่อเป็นกรรมการในบริษัทที่จะขอจดทะเบียนกับกรม และจะเพิ่มฐานความผิดนอมินี ให้เป็นมูลฐานความผิดตามกฎหมาย ปปง. เพื่อให้ยึดและอายัดทรัพย์สินผู้กระทำผิดนอมินีได้ด้วย

 

A person in a grey shirt

Description automatically generated

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

 

3. รัฐบาลคาดปีนี้ดึงลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย อีกกว่า 8 แสนล้านบาท (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 13 มกราคม 2568)

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลได้รับรายงานจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในปี 2568 กำลังมีทิศทางที่สดใส โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยบีโอไอคาดการณ์เพิ่มการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมายจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนได้มากกว่า 800,000 ล้านบาท โดยในช่วงเดือนสิงหาคม - ธันวาคม 2567 มีผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขอรับการส่งเสริมการลงทุนเป็นจำนวนมาก เช่น PCB คลาวด์ Data Center ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่เห็นว่าประเทศไทยมีศักยภาพมากและมีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล 5G เป็น World-class Data Center และ Cloud Services มีระบบสาธารณูปโภคและโลจิสติกส์ที่ทันสมัย เป็นที่ตั้งฐานการผลิตอิเล็กทรอนิกส์ของบริษัทระดับโลก และเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค นอกจากนี้ประเทศไทยยังเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง มีความพร้อมในด้านการค้ากับต่างประเทศ จากการยกระดับการค้าเสรี และกรอบความร่วมมือต่างๆ และมีสิทธิประโยชน์สำหรับการลงทุนที่น่าสนใจ เช่น ภาษีและมาตรการทางด้านการเงิน (Financial) ที่เอื้อประโยชน์สำหรับนักลงทุน และครอบคลุมในทุกกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรม ซึ่งรัฐบาลได้ส่งเสริมการผลิตบุคลากรในสาขา STEM เพิ่ม โดยคาดการณ์ในปี 2569 จะมีบุคลากรเพิ่มในสาขาวิศวกรรมและวิทยาศาสตร์กว่า 3 แสนคน ทั้งนี้ รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านสีเขียว (Green Transition) และการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน โดยบีโอไอเน้นส่งเสริมการผลิตพลังงานสะอาดทุกรูปแบบ ซึ่ง 3 ปีที่ผ่านมามีการขอรับการส่งเสริมเป็นเงินลงทุนรวมกว่า 1.8 แสนล้านบาท และช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 มีเงินลงทุนรวมกันมากกว่า 85,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าปี 2565 ถึง 3.7 เท่า

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นพื้นที่ที่มีความยืดหยุ่นด้านความปลอดภัย (Safety Resiliency) มีความเสี่ยงต่อภัยธรรมชาติต่ำ และปลอดความขัดแย้ง มีระบบสาธารณสุขและการศึกษาที่มีมาตรฐาน โดยประเทศไทยมีความเหมาะสมในการเป็นฐานการผลิต PCB อันดับ 1 ของอาเซียน และปัจจุบันติด Top 5 ของโลก โดยปัจจัยต่างๆ จะส่งผลให้แนวโน้มการลงทุนในปี 2568 มีทิศทางที่ดีขึ้น ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสร้างเม็ดเงินการลงทุนไม่ต่ำกว่า 8 แสนล้านบาท โดยตั้งเป้าเพิ่มการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ 1. อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และชิ้นส่วน 2. อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ (PCB) 3. อุตสาหกรรมดิจิทัล Data Center และ Cloud Region 4. อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต และ 5. อุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน

 

ข่าวต่างประเทศ 

A red flag with yellow stars

Description automatically generated

 

4. ดัชนีการพัฒนาของธุรกิจ SME จีน ปรับตัวขึ้นในไตรมาส 4/67 (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 13 มกราคม 2568)

สมาคมธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลางหรือ SME ของจีน เปิดเผยรายงานธุรกิจเอสเอ็มอีของจีนมีประสิทธิภาพทางธุรกิจที่ดีขี้นในช่วงไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว โดยสำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดัชนีการพัฒนาธุรกิจ SME ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการสำรวจธุรกิจ SME จำนวน 3,000 แห่ง ในอุตสาหกรรมหลัก 8 อุตสาหกรรม อยู่ที่ระดับ 89 ในไตรมาส 4 ปีที่แล้ว ซึ่งปรับตัวขึ้น 0.1 จุด จากระดับไตรมาส 3 ซึ่งดัชนีดังกล่าวยังครอบคลุมดัชนีย่อยๆ ที่ใช้วัดประสิทธิภาพและการคาดการณ์ธุรกิจ SME โดยดัชนีย่อยของการผลิตภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และการขนส่งล้วนปรับตัวขึ้น ส่วนดัชนีย่อยที่วัดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจมหภาคของธุรกิจ SME ยังคงมีเสถียรภาพเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 3

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ SME ของจีนนั้นค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นทั้งในเรื่องความเชื่อมั่นและความต้องการของตลาด ส่งผลให้ความคึกคักของการพัฒนาเพิ่มสูงขึ้น และตอกย้ำถึงความสำคัญของการขยายตัวด้านความต้องการและกระตุ้นการบริโภคในอนาคต รวมทั้งเรียกร้องโฮกาสและการพัฒนาให้กับธุรกิจ SME มากยิ่งขึ้น

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)