ข่าวในประเทศ
น.ส.ณัฏฐิญา เนตยสุภา
อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) หรือดีพร้อม
1. 'ดีพร้อม' ปั้นสตาร์ตอัพแฟชั่น ต่อยอดเศรษฐกิจ 3.9 แสนล้าน (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 25 เมษายน 2568)
น.ส.ณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) หรือดีพร้อม เปิดเผยว่า ซอฟต์พาวเวอร์ไทยเป็นนโยบายเรือธงสำคัญ หนึ่งในนั้น คือ สาขาอุตสาหกรรม แฟชั่น ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศทั้งในด้านมูลค่าและการจ้างงาน โดยในปี 2564 สามารถสร้างรายได้ราว 3.9 แสนล้านบาท การส่งออกสินค้าแฟชั่นมีมูลค่ากว่า 2.2 แสนล้านบาท และเกิดการจ้างงานราว 8 แสนคน ดีพร้อมตระหนักและให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ไทย สาขาแฟชั่น โดยเฉพาะเอสเอ็มอีไทย ให้นำนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิต ออกแบบผสมผสานความร่วมสมัย คงอัตลักษณ์ความเป็นไทยรักษาไว้ซึ่งภูมิปัญญา และความเป็นไทยให้ก้าวสู่ระดับสากล ทั้งนี้ ได้เดินหน้าโครงการพัฒนาและเชื่อมโยงเครือข่ายบุคลากรอุตสาหกรรมแฟชั่น (Fashion Alliance) โดยมุ่งพัฒนาและยกระดับศักยภาพผู้เริ่มต้นทำธุรกิจด้านแฟชั่น (Startup) จำนวน 4 สาขา ได้แก่ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม (Apparel) ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและความงาม (Beauty) หัตถอุตสาหกรรมไทย (Craft) และอัญมณีและเครื่องประดับ (Jewelry) เพื่อพัฒนาและสร้างทักษะ (Up-Re Skill) ที่จำเป็นในการเริ่มต้นประกอบธุรกิจแฟชั่น การบริหารจัดการ การเขียนและวางแผนธุรกิจการสร้างโมเดลธุรกิจ รวมถึงการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการเชื่อมโยงเครือข่ายและสามารถสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
อย่างไรก็ตาม สำหรับการจัดตั้งและยกระดับธุรกิจแฟชั่น มีผู้ผ่านการคัดเลือกจะเข้าสู่กระบวนการบ่มเพาะทักษะทางธุรกิจและการตลาดอย่างเข้มข้น จำนวน 16 หลักสูตร ระยะเวลา 9 วัน พร้อมทั้งเชื่อมโยงเครือข่ายกับผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ (Content Creator) เพื่อปั้นเทรนด์คอนเทนต์อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ให้สามารถตอบโจทย์และเข้าถึงช่องทางการตลาดใหม่เพื่อขยายฐานลูกค้า นอกจากนี้ ยังมีการให้คำปรึกษาแนะนำเชิงลึก จำนวน 5 Man-Day โดยที่ปรึกษา ผู้เชี่ยวชาญ (Mentor) ที่จะช่วยเสริมทักษะที่จำเป็น ก่อนนำเสนอโมเดลธุรกิจต่อแหล่งทุนในกิจกรรม Pitching Day
นายยุทธศักดิ์ สุภสร
ประธานกรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
2. ปั้นนิคมอารยะดันเศรษฐกิจ (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 25 เมษายน 2568)
นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ. และบริษัท อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ ซึ่งเป็นการผนึกกำลังระหว่าง 3 บริษัท ได้แก่ บมจ.เฟร เซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย), บมจ.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ และบริษัท นิคมอุตสาหกรรมเอเซีย ลงนามความร่วมมือจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอารยะ ภายในโครงการ "อารยะ ดิ อีสเทิร์น เกตเวย์" บริเวณกิโลเมตรที่ 32 ถนนบางนา-ตราด อำเภอบางบ่อ จ.สมุทรปราการ มีพื้นที่ประมาณ 1,891 ไร่ รองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และคาดหวังว่า นิคมฯ นี้ จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศและเติบโตได้ตามเป้าหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ทางด้านนายสุเมธ ตั้งประเสริฐ รักษาการผู้ว่าการ กนอ. กล่าวว่า โครงการนี้มีมูลค่า 11,350 ล้านบาท คาดว่าจะดึงดูดการลงทุนโรงงานอีก 58,240 ล้านบาท จะเน้นดึงดูดการลงทุนจากบริษัทใหญ่ในไทยและต่างประเทศที่เป็นอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ซึ่งขณะนี้มีนักลงทุนหลากหลายทั้ง ไต้หวัน จีน และยุโรป ซึ่งนิคมแห่งนี้ถือว่าเป็นแปลงใหญ่สุดท้ายที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ ที่สุด ซึ่งในส่วนของ กนอ. จะเน้นพัฒนาที่ดินที่คาดว่าจะสามารถอนุมัติที่ดินใหม่ได้ในปีนี้ 50,000 ไร่ และเชื่อว่าการลงทุนทั้งหมดนี้จะสามารถเพิ่มจีดีพีได้ 1%
อย่างไรก็ตาม ทางด้านน.ส.กมลกาญจน์ คงคาทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท อารยะ แลนด์ ดีเวลลอปเม้นต์ กล่าวว่า ขณะนี้มีนักลงทุนเข้ามาหารือและให้ความสนใจ ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรมขั้นสูง อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ ยา โลจิสติกส์ รวมถึงดาต้าเซ็นเตอร์ คาดว่าจะตกลงการซื้อขายพื้นที่ในนิคมได้ประมาณปลายปี 2568 และโอนที่ดินได้ภายในปี 2569 ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการขออีไอเอ ต้นปีหน้าน่าจะเห็นการลงทุนที่ชัดเจนจากนักลงทุนที่ได้เจรจากันอยู่
นายธนากร เกษตรสุวรรณ
ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)
3. ผู้ส่งออกหยุดรับคำสั่งซื้อคู่ค้าสหรัฐฯ (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 25 เมษายน 2568)
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า สรท.ได้สำรวจความเห็นของผู้ส่งออกที่เป็นสมาชิกและหารือกับอุตสาหกรรมส่งออก เกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 9-22 เมษายน 2568 พบว่า ขณะนี้ผู้ส่งออกบางกลุ่มยังไม่ได้รับผลกระทบ บางกลุ่มได้รับผลกระทบทางบวก อาทิ คำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเร่งรัดการส่งมอบสินค้าให้เร็วขึ้น และบางกลุ่มได้รับผลกระทบทางลบ เช่น คำสั่งซื้อสินค้าลดลง ยกเลิกคำสั่งซื้อ และลูกค้าผลักภาระต้นทุนภาษีที่เพิ่มขึ้นให้กับผู้ส่งออก เป็นต้น โดยผู้ส่งออกไทยมีวิธีการรับมือ คือ เจรจากับลูกค้าเพื่อแบ่งความรับผิดชอบต่อภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น ทั้งการลดราคาสินค้ากรณีลูกค้าเป็นผู้ชำระค่าภาษี และการขอขึ้นราคาสินค้ากรณีผู้ส่งออกไทยเป็นผู้ชำระภาษีการชะลอรับคำสั่งซื้อเพื่อดูสถานการณ์ เพราะกำไรไม่เพียงพอต่อการจ่ายหรือการช่วยจ่ายภาษีให้กับลูกค้า การหาตลาดอื่นทดแทน เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้ถามถึงแนวทางการเจรจาของไทยกับสหรัฐฯที่จะให้ไทยไปลงทุนในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น รวมถึงเพิ่มการนำเข้าสินค้าบางรายการหรือนำเข้าสินค้าบางรายการที่ยังไม่เคยนำเข้านั้น ผู้ส่งออกกว่า 88.9% ระบุไม่มีการลงทุน และไม่มีแผนหรือความต้องการลงทุนในสหรัฐฯ เพราะต้นทุนสูงขึ้นมาก และ 11.1% มีบริษัทแม่หรือบริษัทในเครือตั้งอยู่ในสหรัฐฯแล้ว ขณะที่มีเพียง 31.6% ที่นำเข้าวัตถุดิบจากสหรัฐฯอยู่แล้ว เช่น ถั่วเหลือง เครื่องจักรและอุปกรณ์ เม็ดพลาสติก วัตถุดิบอาหารสัตว์ เป็นต้น ส่วนที่เหลือนำเข้าจากแหล่งอื่น ที่ราคาถูกกว่า และใช้วัตถุดิบภายในประเทศ ทั้งนี้ สรท.ขอให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเฝ้าระวังสินค้าจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจาก Reciprocal Tariff ที่อาจทะลักเข้าไทย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ของเล่น เครื่องเล่นเกม ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ เครื่องเสียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ภาชนะบนโต๊ะอาหาร ผลิตภัณฑ์พลาสติก เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน รถโดยสาร สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องหนังและรองเท้า เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ สรท. ยังขอให้รัฐบาลดำเนินการมาตรการป้องกันการนำเข้า และการเข้ามาลงทุนผลิตในประเทศ ดังนี้ 1. ออกมาตรการต้านการนำเข้าสินค้าด้อยคุณภาพ โดยกำกับดูแลตั้งแต่ประเทศต้นทาง เช่น สินค้าและโรงงานต้องได้รับการรับรองมาตรฐานของไทย ผู้ส่งออกที่ขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ต้องระบุ ID Number ให้ชัดเจนไม่ซ้ำซ้อน ตรวจสอบสินค้านำเข้า 100% เพื่อป้องกันสินค้าด้อยคุณภาพเข้าประเทศ ตรวจสอบสินค้าผ่าน Freezone 100% เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์ส่งออก 2. ออกมาตรการต้านการลงทุนศูนย์เหรียญ เช่น ทบทวนสิทธิประโยชน์ตามมาตรการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สำหรับการลงทุนใหม่ ให้ใช้วัตถุดิบภายในประเทศไม่น้อยกว่า 40% เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในประเทศ ฯลฯ และ 3. ออกมาตรการส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดยต้องอัดฉีดงบประมาณสำหรับจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และงบสนับสนุนด้านการตลาดแก่ภาคเอกชน เพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าไทยในสายตาคู่ค้าและผู้บริโภคในตลาดโลก
ข่าวต่างประเทศ
4. สหรัฐเผยยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพุ่งขึ้นมากกว่าคาดในเดือนมี.ค. (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 25 เมษายน 2568)
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พุ่งขึ้น 9.2% ในเดือนมีนาคม 2568 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้นเพียง 1.6% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.9% ในเดือนกุมภาพันธ์ ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนมีสาเหตุจากการที่บริษัทต่างๆ พากันรีบสั่งซื้อสินค้าต่างๆ ก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ต่อประเทศคู่ค้าในวันที่ 2 เมษายน 2568
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนพื้นฐาน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าทุนที่ไม่รวมเครื่องบิน และสินค้าด้านอาวุธ โดยเป็นสิ่งบ่งชี้แผนการใช้จ่ายของภาคธุรกิจ เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนมีนาคม ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากลดลง 0.3% ในเดือนกุมภาพันธ์
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)