ข่าวประจำวันที่ 29 เมษายน 2568

ข่าวในประเทศ

A person holding a microphone

AI-generated content may be incorrect.

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. 'เอกนัฏ' ชู 3 ภารกิจ ล้วงงบ 5 แสนล. (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 29 เมษายน 2568)

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเปิดงานเสวนา "เดลินิวส์ ทอล์ก 2025" 'Sustain Daily Talk 2025' หัวข้อ 'Sustainable Green Finance ' โอกาส และความท้าทาย ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ ถึงโครงการเร่งด่วนที่จะขอใช้งบ 5 แสนล้านบาท จากรัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยหลังเผชิญผลกระทบจากภาษีสหรัฐ ว่า กระทรวงอุตสาหกรรมจะมุ่งดำเนินการ 3 เรื่อง ประกอบด้วย 1. Transaction เงินทุนสำหรับการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ หรือผู้ผลิต อาทิ    ยานยนต์เทคโนโลยียนต์สันดาป (ICE) ไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี (EV) การเปลี่ยนไปสู่อุตสาหกรรมยุคใหม่ด้านอิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่การมุ่งสู่ BCG หรือเศรษฐกิจทฤษฎีใหม่ 2. Relocationรองรับการย้ายฐานผลิตของภาคอุตสาหกรรม การดูแลชุมชนโดยรอบ โรงงานควรไปอยู่ในที่ที่ควรอยู่ เช่น ใกล้กับเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรืออีอีซี (EEC) มีระบบโลจิสติกส์ มีโครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนไว้แล้ว อยู่ใกล้กับตลาด หรือใกล้กับโรงงานขนาดใหญ่ที่ต้องการขายของให้ และ 3. Sustainability เรื่องความยั่งยืน ทุกอย่างมีต้นทุนหมด โดยต้องการให้โรงงานติดตั้งแผงโซลาร์ผลิตไฟไว้ใช้เอง ซึ่งก็ต้อง ใช้เงินทุน ทั้งนี้ กระทรวงจะให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) และกองทุนอนุรักษ์พลังงาน มาชดเชยดอกเบี้ยสำหรับปล่อยกู้ โดยจะหารือกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังต่อไป นอกจากนี้จะต้องการฟื้นแบรนด์เมดอินไทยแลนด์ สินค้าได้มาตรฐาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จ้างงานทักษะสูงเป็นคนไทย ใช้วัตถุดิบในประเทศ เพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายวิชัย ณรงค์วณิชย์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารกสิกรไทยเข้าไปช่วยให้ลูกค้าแบบเบ็ดเสร็จ เพื่อลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจับมือพันธมิตร นำเทคโนโลยีช่วยลูกค้าไปลดก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนเงินทุนสีเขียว นอกจากนี้ ทางด้านนายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ตลท.เป็นตัวกลางด้านตลาดทุนที่เชื่อมโยงบริษัทจดทะเบียน (บจ.) กับนักลงทุนในหุ้นเข้าด้วยกัน โน้มน้าว บจ.ให้เห็นความสำคัญในเรื่องของความยั่งยืนและสามารถรายงานเป็นข้อมูลได้ พร้อมกับโน้มน้าวนักลงทุนให้เห็นประโยชน์ในการลงทุนในหุ้นของบริษัทที่บริหารจัดการด้านความยั่งยืน

 

นายธนวัฒน์ ปัญญาสกุลวงศ์

กรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ.

 

2. กนอ. มั่นใจไทยฐานผลิตแกร่ง จับตาเจรจาการค้า 'ไทย-สหรัฐ' (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, ประจำวันที่ 29 เมษายน 2568)

นายธนวัฒน์ ปัญญาสกุลวงศ์ กรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. เปิดเผยว่า กรณีที่หลายหน่วยงานมองว่าการลงทุนในอุตสาหกรรมไทยมีความเสี่ยงที่จะย้ายฐานการผลิตที่อาจจะเพิ่มขึ้น ถ้าประเทศไทยยังไม่ได้เจรจากับสหรัฐฯ ใน 90 วันได้ตามกำหนดที่จะโดนขึ้นภาษีนำเข้าศุลกากรสหรัฐ 36% อีกทั้ง ต้องเข้าใจว่าหน่วยงานที่ประเมิณทิศทางของเศรษฐกิจ ความเสี่ยงต่อการย้ายฐานการลงทุน ล้วนจะต้องให้ความเห็นในทิศทางที่ร้านแรงหรือรุนแรงพอสมควร ซึ่งอาจจะต้องตั้งสมมติฐานที่สูงไว้ก่อน เหมือนเวลาเมื่อหมอวินิจฉัยโรคแล้วบอกญาติคนไข้ให้เตรียมตัวรับมือกับกรณีต่างๆ เพราะหากประเมณดีเกินไปแล้วหากเกิดเหตุที่รุนแรงก็จะเสียหายได้เช่นกัน ซึ่งขณะนี้ กนอ. ยังไม่พบการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรม แม้ว่าจะเริ่มมีสัญญาณจากบางกลุ่มผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างการประเมินทางเลือก แต่โดยภาพรวม             ยังเห็นว่าส่วนใหญ่ยังคงรอดูทิศทางของการเจรจาทางการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด อีกทั้ง นักลงทุนก็ยังมีคำถามว่าหากย้ายไปลงทุนที่ประเทศอื่นๆ หรือประเทศเพื่อนบ้านจะมั่นใจได้อย่างไรว่าประเทศเหล่านั้น จะไม่โดนสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษี นอกจากนี้ ประเทศไทยยังคงมีจุดแข็งที่ชัดเจน ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อม ระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ แรงงานฝีมือที่มีคุณภาพ รวมถึงตำแหน่งทางภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) ที่มีความเป็นกลาง เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันและเป็นข้อได้เปรียบในการรักษาฐานการผลิตในประเทศ สำหรับในส่วนของ กนอ. นั้น ได้จัดตั้งทีมเฉพาะกิจในการรวบรวมข้อมูลเชิงลึก เพื่อนำไปสนับสนุนการดำเนินการของทีมเจรจาระหว่างรัฐบาลไทยกับสหรัฐฯ อย่างเต็มที่ พร้อมกันนี้ กนอ. ยังดำเนินมาตรการเชิงรุกในมิติต่างๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับนิคมอุตสาหกรรม ทั้งการสนับสนุนการขยายตลาดใหม่  การพัฒนาคุณภาพบริการ และการอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม การลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมแต่ละโครงการถือเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ ไม่ใช่ว่าจะมีการถอนการลงทุนง่ายๆ ซึ่งในช่วง 90 วัน ตามที่สหรัฐฯ ประกาศ ถือว่าไทยยังมีเวลา ดังนั้น กนอ. ก็พร้อมสนับสนุนข้อมูลและส่งกำลังใจให้กับผู้นำทีมไทยในการที่จะไปเจรจากับสหรัฐฯ และอยากให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างความเข็มแข็ง เรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั่วโลกว่า ไทยมีความพร้อมและเป็นศูนย์การต่อการลงทุน

 

นายพรชัย ฐีระเวช

ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)

 

3. ดัชนีเศรษฐกิจไทยมี.ค.ลดลง จับตานโยบายสหรัฐ-จีนหวั่นกระทบไทย (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 29 เมษายน 2568)

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือนมีนาคม 2568 ว่า เศรษฐกิจไทยยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าที่ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 สำหรับภาคการท่องเที่ยวต่างชาติ และการบริโภคในหมวดสินค้าคงทน มีแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งยังจำเป็นต้องติดตามนโยบายเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และจีน ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในด้านต่างๆ อย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมีนาคม 2568 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 56.7 จากระดับ 57.8 ในเดือนก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า ค่าครองชีพสูง รวมถึงปัญหาสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น ปริมาณรถยนต์นั่งจดทะเบียนใหม่ ในเดือนมีนาคม 2568 ลดลง 3.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการบริโภคภาคเอกชน มีสัญญาณทรงตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน ด้านเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชน มีสัญญาณทรงตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้าขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยมูลค่าการส่งออกสินค้ารวมในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐในเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ 29,548.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ที่ 17.8% ในส่วนของเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทาน โดยเฉพาะบริการ  ด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศปรับตัวดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยภาคบริการด้านการท่องเที่ยว ในเดือนมีนาคม 2568 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยรวม 2.72 ล้านคน ลดลง 8.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่การท่องเที่ยวภายในประเทศ ที่มีผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 22.5 ล้านคน ขยายตัวจากช่วงเดียวกันปีก่อน 2.2% ขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ในเดือนมีนาคม 2568 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 7.1% สำหรับภาคอุตสาหกรรม สะท้อนจากดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือนมีนาคม 2568 ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 91.8 จากระดับ 93.4 ในเดือนก่อนหน้า โดยได้รับปัจจัยกดดันจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2568 กระทบต่อความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยว รวมถึงการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ

อย่างไรก็ตาม เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนมีนาคม 2568 อยู่ที่ 0.84% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.86% ส่วนสัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 อยู่ที่ 64.2% ต่อ GDP ซึ่งยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ ตาม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับที่มั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2568 ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ 245.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

 

ข่าวต่างประเทศ

 

4. เฟดเข้าสู่ช่วง Blackout ก่อนประชุม FOMC สัปดาห์หน้า (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 29 เมษายน 2568)

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ได้เริ่มเข้าสู่ช่วงงดเว้นการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการเงิน (Blackout Period) ก่อนที่เฟดจะจัดการประชุมกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ในวันที่ 6-7 พฤษภาคม 2568 โดยกฎระเบียบของเฟดได้ระบุห้ามเจ้าหน้าที่เฟดแสดงความเห็นหรือให้สัมภาษณ์ในช่วง Blackout Period เกี่ยวกับนโยบายการเงิน โดยเริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่สองก่อนที่การประชุม FOMC จะเริ่มขึ้น และสิ้นสุดในวันพฤหัสบดีหลังการประชุม FOMC เพื่อป้องกันไม่ให้สาธารณชนตีความว่าเป็นการบ่งชี้การดำเนินการด้านอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมนโยบายการเงินที่จะมาถึง ทั้งนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า แม้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กดดันอย่างหนักให้นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ โดยจะเกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม ตุลาคม และธันวาคม

อย่างไรก็ตาม ทางด้าน FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 95.1% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมวันที่ 6-7 พฤษภาคม 2568 นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือนมิถุนายน 2568 ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือนกรกฎาคม 2568 ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือนตุลาคม 2568 และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.25-3.50% ในการประชุมเดือนธันวาคม 2568

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)