ข่าวในประเทศ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
1. ส่งออกบวกต่อเนื่อง 4 เดือน สร้างรายได้ 3.61 ล้านล้าน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 27 พฤษภาคม 2568)
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยแถลงผลการส่งออกของไทยประจำเดือนเมษายน 2568 มีมูลค่ารวม 25,625.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 857,700 ล้านบาท ขยายตัว 10.2% ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 หากหักสินค้าที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย การส่งออกยังขยายตัว 7.1% โดยกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมเกษตรเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ ในส่วนของตลาดส่งออกสำคัญของไทยยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น อาเซียน และสหภาพยุโรป ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออก 4 เดือนแรกของปี 2568 มีมูลค่า 107,157.4 ล้านดอลลาร์ หรือขยายตัว 14.0% และหากไม่รวมสินค้าน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย จะมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ 12.1% ตัวเลขการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่องสะท้อนถึงความเข้มแข็งของภาคเศรษฐกิจไทย แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ขณะที่ตลาดสำคัญอื่นๆ ก็ขยายตัวเช่นกัน อาเซียนขยายตัว 7.8% ต่อเนื่อง 2 เดือน เอเชียใต้ 8.7% ต่อเนื่อง 7 เดือน สหภาพยุโรป 6.1% ต่อเนื่อง 11 เดือน ญี่ปุ่น 5.5% ต่อเนื่อง 2 เดือน และจีน 3.2% ต่อเนื่อง 7 เดือน ทั้งนี้ สำหรับตลาดยุโรป กระทรวงพาณิชย์เตรียมเจรจาข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับสหภาพยุโรปให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ โดยจะเข้าพบกรรมาธิการยุโรปด้านการค้า นายมารอส เซฟโควิช รวมถึงพบปะกับ OECD เพื่อผลักดันให้การเจรจาสำเร็จเร็วที่สุด ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพการค้าของไทยในตลาดยุโรปได้อย่างมากซึ่งการส่งออกยังคงเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยแม้ในกรณีที่ในช่วง 8 เดือนที่เหลือของ ปี 2568 การส่งออกไม่เติบโตเพิ่มเติมเลย ไทยก็ยังจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตเฉลี่ยได้มากกว่า 4% ซึ่งมากกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ซึ่งหากสามารถเจรจากับสหรัฐฯ ให้ไทยได้รับอัตราภาษีในระดับเดียวกับประเทศอื่น ก็จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยได้อีกมาก ส่วนการเจรจากับสหรัฐฯ คืบหน้าไปมาก และคาดว่าจะสรุปผลได้ภายใน 90 วัน มั่นใจว่านโยบายส่งออกในปัจจุบันเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง และจะสามารถนำพาเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มการส่งออกในครึ่งหลังของ ปี 2568 คาดว่าไทยจะยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ได้ประชุมหารือกันอย่างต่อเนื่องในการเตรียมพร้อมแนวทางการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และวางแผนออกมาตรการเยียวยาเพื่อลด ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ประกอบการ ตลอดจนทำงานเชิงรุกผ่านการเจรจา FTA ในระดับต่างๆ อาทิ การพัฒนาสินค้าให้มีมูลค่าสูง เร่งรัดการเปิดตลาดใหม่ ควบคู่กับการใช้มาตรการเชิงรับ อาทิ การป้องกันการสวมสิทธิ์ส่งออก การป้องกันการลักลอบนำเข้า การบังคับใช้กฎระเบียบด้านคุณภาพและมาตรฐานสินค้า และการติดตามเฝ้าระวังการเบี่ยงเบนทางการค้า สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างเครื่องมือและกลไกต่างๆ เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการค้า ของโลก ด้วยเป้าหมายที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส และรักษาระดับการเติบโตของการส่งออกไทยให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในปี 2568 แม้ต้องเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
2. บีโอไอผนึก KOTRA ดึงลงทุนชูฐานผลิตอุตสาหกรรมใหม่ (ที่มา: ทันหุ้น, ประจำวันที่ 27 พฤษภาคม 2568)
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา บีโอไอได้ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมการค้าและการลงทุนแห่งสาธารณรัฐเกาหลี (KOTRA) และหอการค้าเกาหลี-ไทย (KTCC) จัดสัมมนาใหญ่ในหัวข้อ "Thailand Business Essentials A Comprehensive Guide for Korean Executives" ณ โรงแรมฮิลตัน พัทยา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีบริษัทเกาหลีตั้งฐานการผลิตอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนเกาหลี พร้อมอัพเดตนโยบายและมาตรการส่งเสริมการลงทุนของไทย นโยบายพัฒนาระบบนิเวศทางธุรกิจของรัฐบาล เช่น การจัดทำกลไกพลังงานสะอาด การพัฒนาบุคลากรทักษะสูง การพัฒนาระบบริการภาครัฐในรูปแบบ One Stop Service พร้อมทั้งได้ชี้เป้าและโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เกาหลีเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ดิจิทัลและ AI ยานยนต์ไฟฟ้า แบตเตอรี่ และเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายพัค ยงมิน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทย กล่าวว่า ท่ามกลางสภาพแวดล้อมทางการค้าที่มีความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ทั้งการกีดกันการค้าและความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรง ความท้าทายที่เกิดขึ้นนี้ นำมาซึ่งโอกาสใหม่ๆ อีกด้วย ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา เกาหลีและไทยมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าอย่างมาก และมีศักยภาพที่จะขยายโอกาสร่วมกันได้อีก โดยเฉพาะด้านการลงทุน การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานจากอุตสาหกรรมดั้งเดิมสู่อุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้าและปัญญาประดิษฐ์ โดยในอนาคต อันใกล้รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศจะผลักดันข้อตกลงความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (EPA) ระหว่างไทย - เกาหลี ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างรอบด้าน ร่วมกับข้อตกลง ASEAN - Korea Free Trade Agreement (AKFTA) และ Regional Comprehensive Economic Partnership (RCEP)
นายธนากร เกษตรสุวรรณ
ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)
3. สรท.หารือ รมว.พาณิชย์ ชงแนวทางผลักดันส่งออกยั่งยืน ลดผลกระทบศก.ผันผวน (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 27 พฤษภาคม 2568)
นายธนากร เกษตรสุวรรณ ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) พร้อมด้วยคณะผู้บริหารฯ ได้เข้าพบ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เพื่อหารือแนวทางในการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทย จากความท้าทายซึ่งเกิดจากความผันผวนและคาดการณ์ได้ยากของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายทางภาษี และมาตรการทางการค้าของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนมาตรการทางการค้าใหม่ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงบทบาทของประเทศผู้ผลิตเพื่อส่งออกรายใหญ่ ปัญหาโลกเดือด ส่งผลให้ทุกประเทศต้องปรับตัวทั้งภายใน และภายนอกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดย สรท.ได้นำเสนอประเด็นสำคัญเพื่อการผลักดันการส่งออกอย่างยั่งยืน และมีข้อสรุปที่สำคัญดังนี้ ประการแรก สรท.เสนอให้รัฐบาลร่วมกับภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ร่วมผลักดันแนวทางการพัฒนาประเทศสู่ชาติการค้า (Trading Nation Long-Term Strategy) โดยตั้งเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นชาติพัฒนาแล้วภายในปี 2575 พร้อมทั้งเสนอให้มีการตั้งคณะทำงานปฏิรูปโครงสร้างการค้าและการลงทุน (คปค.) โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ซึ่ง รมว.พาณิชย์ เห็นพ้องข้อเสนอของ สรท. และยินดีร่วมมือในส่วนที่กระทรวงพาณิชย์เป็นผู้รับผิดชอบ และยินดีช่วยสนับสนุนการดำเนินงานตามข้อเสนอยุทธศาสตร์ของ สรท. เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน สำหรับประการที่สอง ทั้งสองฝ่ายได้หารือแนวทางการเร่งแก้ไขปัญหาการเรียกเก็บ Reciprocal Tariff ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปัญหาเฉพาะหน้าของการส่งออกไทย โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป โดย สรท. มีข้อเสนอที่สำคัญประกอบด้วย 1) เร่งพิจารณาข้อเสนอสำหรับการเจรจาที่สอดคล้องกับความคาดหวังของสหรัฐอเมริกา โดยที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศไทย 2) เร่งเดินหน้าด้านการตลาดเพื่อกระจายสินค้าไทยไปยังตลาดอื่นทั่วโลก รวมถึงเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดหลักจากสงครามการค้า 3) ส่งเสริมให้มีการใช้สิทธิประโยชน์ความตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่ เร่งรัดการเจรจาการค้าเสรีระหว่างไทยกับสหภาพยุโรป และรวมเปิดการเจรจากับตลาดสำคัญอื่น อาทิ เม็กซิโก และลาตินอเมริกา 4) ให้ความสำคัญและเพิ่มความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อต่อต้านการทุ่มตลาดสำหรับการนำเข้าที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมและผู้ประกอบการในประเทศ และ 5) ยกระดับความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน (ASEAN Regional Comprehensive Partnership) ในการหารือกับสหรัฐอเมริกา และประเทศศักยภาพอื่น เพื่อเพิ่มอำนาจในการต่อรองให้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับประการที่สาม เศรษฐกิจประเทศไทย พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศในสัดส่วนที่สูง และสัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศอื่น นอกเหนือจากสหรัฐฯ ยังคงสูงถึง 81-82% ดังนั้นประเทศไทยจำเป็นต้องมีท่าที และรักษาระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ เน้นความเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เพื่อให้เกิดความสมดุล และเป็นมิตรกับทุกฝ่าย เพื่อรักษาความสัมพันธ์ทางการค้า อาทิ การเข้าร่วมกลุ่ม BRICS ในลักษณะของประเทศผู้สังเกตการณ์ เพื่อให้เกิดความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ แต่ไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างการเจรจากับสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
ข่าวต่างประเทศ
4. แบงก์ชาติอิสราเอลคงดอกเบี้ยที่ 4.5% กังวลเงินเฟ้อสูงกระทบเศรษฐกิจ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 27 พฤษภาคม 2568)
ธนาคารกลางอิสราเอล เปิดเผยว่า ได้มีการประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 4.5% ซึ่งเป็นการคงดอกเบี้ยติดต่อกันครั้งที่ 11 และสอดคล้องกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ ซึ่งภาวะเงินเฟ้อสูงยังคงเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับธนาคารกลาง โดยธนาคารกลางคาดการณ์ว่ามีความเสี่ยงหลายปัจจัยที่จะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งรวมถึงสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ทวีความรุนแรงและผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจ, ภาวะชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน, สถานการณ์การค้าโลกที่ย่ำแย่ลง และความผันผวนของสกุลเงินเชเคล ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะทำให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อเดือนเมษายน 2568 ของอิสราเอลพุ่งขึ้น 3.6% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งปรับตัวขึ้นมากกว่าในเดือนมีนาคม ที่เพิ่มขึ้น 3.6% และเป็นการขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 8 เดือน นอกจากนี้ ตัวเลขเงินเฟ้อดังกล่าวยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายที่ธนาคารกลางกำหนดไว้ในกรอบ 1% - 3%
อย่างไรก็ตาม ส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของอิสราเอลขยายตัว 3.4% ในไตรมาส 1/2568 เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นอัตราขยายตัวที่เร็วขึ้นจากระดับ 1.9% ในไตรมาส 4/2567 โดยได้รับแรงหนุนจากการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรที่ปรับตัวขึ้น 8.7% และการส่งออกที่เพิ่มขึ้น 6.2% ขณะที่การก่อสร้างขยายตัว 44.8% แต่สำนักงานสถิติอิสราเอลระบุว่า การเพิ่มขึ้นดังกล่าวยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)