ข่าวประจำวันที่ 28 พฤษภาคม 2568

ข่าวในประเทศ

A person in a suit and tie

AI-generated content may be incorrect.

นายพิชัย นริพทะพันธุ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

1. ลุ้นส่งออกข้าวปีนี้ 7.5 ล้านตัน แนะทำพรีเมี่ยมเลี่ยงอินเดีย (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, ประจำวันที่ 28 พฤษภาคม 2568)

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ ในงาน Thailand Rice Convention (TRC) 2025 ครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 ว่า การจัดการงานนี้เป็นนโยบายที่ต้องการยกระดับอุตสาหกรรมข้าวไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ "ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้" ที่จะเป็นเวทีในการสร้างโอกาสทางการค้า เพื่อให้ ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า และตัวแทนเกษตรกรไทย ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนข้อมูล และพบปะเจรจาธุรกิจการค้าระหว่างผู้ส่งออก ข้าวไทยกับผู้นำเข้าข้าว รวมถึงผู้ค้าข้าว (Trader) ซึ่งมีผู้ร่วมงานกว่า 500 คน จากทั้งในและต่างประเทศ 30 ประเทศ เพื่อนำไปสู่การตกลงซื้อขายข้าว เพื่อรองรับผลผลิตข้าวไทย หลังจากได้หารือผู้นำเข้าข้าวรายสำคัญของโลก คาดว่างานนี้จะมีคำสั่งซื้อเข้ามาไม่น้อยกว่า 100,000 ตัน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 2,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะทำให้ยอดซื้อขายข้าวทั้งปี 2568 อยู่ที่ 7.5 ล้านตัน นอกจากนี้ ยังได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศติดตามสถานการณ์ตลาดข้าวโลกอย่างใกล้ชิด หลังจากเกิดสถานการณ์ตึงเครียดท่ามกลางความขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์ในหลายพื้นที่ เพื่อแสดงถึงความพร้อมที่จะเป็นแหล่งอาหารโลก เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ให้ประเทศคู่ค้าตามนโยบายของรัฐบาล เพราะอุตสาหกรรมข้าวโลกในตอนนี้ มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเก็บอัตราภาษีของสหรัฐ การปริมาณผลผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ไทยส่งออกไปสหรัฐ ส่วนใหญ่เป็นข้าวหอมมะลิ โดยส่งออกปีละเฉลี่ย 8-9 แสนตัน หากไทยถูกเก็บภาษีต่ำ หรือเสียภาษีพื้นฐาน 10% ก็เชื่อว่า ยังสามารถที่จะแข่งขัน และส่งออกข้าวไปตลาดสหรัฐได้ แต่หากถูกเก็บภาษีสูง การแข่งขันก็จะยากขึ้น แต่ทั้งนี้ ผมก็ได้เดินหน้าเจรจาและเตรียมข้อมูลให้กับคณะทำงานที่ดูแล และมีการพูดคุยเจรจาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเชื่อว่าการเจรจาด้านภาษีไทย-สหรัฐ จะเดินหน้าไปได้ดี ซึ่งกระทรวงพาณิชย์พร้อมที่จะยกระดับข้าวไทย ให้เป็นข้าวพรีเมี่ยม เพื่อสร้างมูลค่าสินค้า และรายได้ให้กับเกษตรกร

อย่างไรก็ตาม ทางด้านร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การส่งออกข้าวไทย ทั้งปี 2568 ยังเชื่อว่าอยู่ที่ 7.5 ล้านตัน แต่ก็ยังอยู่ภายใต้ปัจจัยเสี่ยง โดยเฉพาะสต๊อกข้าวของอินเดีย ซึ่งมีมากกว่า 60 ล้านตัน ขณะที่ผลผลิตข้าวของอินเดียปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 140 ล้านตัน ซึ่งมีปริมาณมากที่สุดในรอบ 50 ปี และหากอินเดียมีการระบายข้าวในสต๊อกออกมา ก็จะมีผลต่อราคาข้าวในตลาดโลก ซึ่งตอนนี้ราคาข้าวอินเดียต่ำกว่า 400 เหรียญสหรัฐต่อตัน ประมาณ 390-392 เหรียญสหรัฐต่อตัน ขณะที่ผลผลิตข้าวทั่วโลกก็เพิ่มขึ้น รวมไปถึงผลผลิตข้าวของไทย เพราะน้ำในเขื่อนมีปริมาณมากเป็น ผลดีต่อการเพาะปลูกข้าวนาปรัง นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนที่จะคงผันผวนเพียง 2 อาทิตย์ก็ผันผวนไปแล้ว 2-3% ปัจจัยเหล่านี้ ล้วนที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยง และปัจจัยกระทบต่อการส่งออกและการแข่งขันข้าวไทย ส่วนตลาดผู้นำเข้าปีนี้ คาดว่าจะนำเข้าน้อยลง โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศผู้นำเข้ารายใหญ่ ปีนี้คาดว่าจะไม่นำเข้า ซึ่งต้องติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด

 

A person with her arms crossed

AI-generated content may be incorrect.

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม

อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์

2. ต่างชาติลงทุนไทย 4 เดือน พุ่ง 43% ญี่ปุ่นสูงสุดกว่า 1.7 หมื่นล้านบาท (ที่มา: ทันหุ้น, ประจำวันที่ 28 พฤษภาคม 2568)

นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 (มกราคม - เมษายน) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติ เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 363 ราย คิดเป็นเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 57,860 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 87 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 276 ราย ทั้งนี้ การอนุญาตใน 4 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้น 110 ราย (43%) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 2,902 ล้านบาท (5%) โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่1. ญี่ปุ่น 71 ราย คิดเป็น 20% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 17,255 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อ วัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ ธุรกิจบริการจัดหาวัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น 2. สหรัฐอเมริกา 51 ราย คิดเป็น 14% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 2,485 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจค้าปลีกสินค้า ธุรกิจบริการคลังสินค้า ธุรกิจบริการ Data Center 3. สิงคโปร์ 45 ราย คิดเป็น 12% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 9,126 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการออกแบบ จัดซื้อ จัดหา ติดตั้ง ทดสอบ ตลอดจนการฝึกอบรม การให้คำปรึกษาแนะนำด้านการปฏิบัติการของงานระบบควบคุมกำกับดูแล และเก็บข้อมูลสำหรับโครงการรถไฟฟ้า 4. จีน 43 ราย คิดเป็น 12% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 6,471 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจจัดหาจัดซื้อวัตถุดิบ ชิ้นส่วนและส่วนประกอบสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อค้าส่งในประเทศ ธุรกิจบริการดำเนินพิธีการศุลกากรในเขตปลอดอากร (Free Zone) เป็นต้น และ 5. ฮ่องกง 40 ราย คิดเป็น 11% ของธุรกิจต่างชาติในไทย เงินลงทุน 5,766 ล้านบาท ส่วนใหญ่ลงทุนในธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย ธุรกิจบริการสถานีบริการอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานพาหนะไฟฟ้า ธุรกิจบริการ DATA CENTER, CLOUD SERVICES และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า

อย่างไรก็ตาม สำหรับการลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ใน 4 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 108 ราย คิดเป็น 30% ของนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31 ราย (40%) มูลค่าการลงทุน 31,363 ล้านบาท คิดเป็น 54% ของเงินลงทุนทั้งหมด ประกอบด้วย นักลงทุนจากประเทศ ญี่ปุ่น 32 ราย ลงทุน 10,008 ล้านบาท จีน 25 ราย ลงทุน 3,867 ล้านบาท สิงคโปร์ 10 ราย ลงทุน 5,934 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 41 ราย ลงทุน 11,554 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ ธุรกิจค้าปลีกสินค้าแม่พิมพ์ (Mould) ที่ใช้สำหรับผลิตชิ้นส่วนพลาสติก อุปกรณ์และชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องทำความเย็น ชิ้นส่วนสำหรับซ่อมแซมเครื่องจักรที่ใช้ในกระบวนการผลิตยางรถยนต์ และธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เคมีภัณฑ์สำหรับใช้ในอุตสาหกรรม เกี่ยวกับโลหะ ชิ้นส่วนเครื่องจักร ชิ้นส่วนคอมเพรสเซอร์รถยนต์ ผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม เป็นต้น

 

A person in a suit and tie

AI-generated content may be incorrect.

นายวิทยากร มณีเนตร

อธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) กระทรวงพาณิชย์

3. พาณิชย์ผนึกกำลังกยท. จัดมาตรการดูแลยาง-ขยายตลาดส่งออก (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 28 พฤษภาคม 2568)

นายวิทยากร มณีเนตร อธิบดีกรมการค้าภายใน (คน.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือร่วมกับนายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล รักษาการผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ว่า ได้มีการพิจารณาข้อเรียกร้องของเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราในหลายจังหวัด ที่ขอให้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 ออกมาตรการกำกับดูแลสินค้ายางพาราเพิ่มเติม จากมาตรการที่มีอยู่เดิม เช่น การกำหนดราคาซื้อขั้นต่ำ การแจ้งต้นทุน การควบคุมแผนการผลิต การนำเข้า-ส่งออก การควบคุมการขนย้าย และการป้องกันการปั่นป่วนราคายางในตลาล ทั้งนี้ ในปัจจุบัน กกร. ได้กำหนดให้ยางพารา รวมถึงน้ำยางสด ยางก้อน เศษยาง น้ำยางข้น ยางแผ่น ยางแท่ง และยางเครพ เป็นสินค้าควบคุม ตามประกาศ กกร. ฉบับที่ 9 พ.ศ.2567 และออกมาตรการกำกับดูแล อาทิการกำหนดให้ผู้รับซื้อตั้งแต่ 5,000 กิโลกรัม ขึ้นไป ต้องแจ้งข้อมูลปริมาณยางพาราเป็นรายเดือน และการแสดงราคารับซื้ออย่างชัดเจน โปร่งใส ตรงกับราคาจริง ส่วนข้อเสนอของเกษตรกรในการกำหนดราคารับซื้อ ตามมาตรา 25 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 นั้น กรมฯได้ขอให้ กยท. จัดทำข้อมูลต้นทุนการผลิตและโครงสร้างราคายางอย่างละเอียด เพื่อประกอบการพิจารณาก่อนเสนอคณะกรรมการ กกร. พิจารณาอย่างรอบคอบ ในการกำหนดราคายางพาราที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ทั้งนี้ สำหรับการกำกับดูแลการซื้อขาย กรมฯจะร่วมกับ กยท. และสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ ดำเนินการตรวจสอบการติดป้ายราคารับซื้อ และตรวจสอบเครื่องชั่งน้ำหนักที่ใช้ในการซื้อขายยางพาราอย่างเข้มงวด เพื่อสร้างความโปร่งใสและป้องกันการเอาเปรียบเกษตรกร

อย่างไรก็ตาม ทางด้านตลาดต่างประเทศ กรม และ กยท. ได้เห็นชอบร่วมกันในการขยายโอกาสทางการตลาด โดยเน้นการเจาะตลาดใหม่ เช่น อินเดีย ที่มีความต้องการใช้ยางพาราในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น รวมถึงการขยายตลาดเดิม เช่น สหภาพยุโรป ด้วยการยกระดับคุณภาพสินค้าให้สอดคล้องกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน เพื่อลดผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าภายใต้นโยบายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งส่งผลต่อการส่งออกและราคายางของไทย โดยกรมฯจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ร่วมกับ กยท. วางแผนจัดกิจกรรมส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ รวมถึงสนับสนุน ผู้ประกอบการในการเข้าร่วมงาน แสดงสินค้าระหว่างประเทศ เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้แก่อุตสาหกรรมยางพาราไทยในตลาดโลก

 

ข่าวต่างประเทศ

A flag with red white and blue stripes

AI-generated content may be incorrect.

4. เงินเฟ้อฝรั่งเศสเดือนพ.ค.ขยายตัวต่ำสุดในรอบ 4 ปี หลังราคาพลังงานร่วง (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 28 พฤษภาคม 2568)

สำนักงานสถิติแห่งชาติฝรั่งเศส (INSEE) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้นเพียง 0.6% ในเดือนพฤษภาคม 2568 เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.9% โดยดัชนี CPI เดือนพฤษภาคม 2568 ของฝรั่งเศสยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) กำหนดไว้ที่ 2% และเป็นการขยายตัวที่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 4 ปี ซึ่งอาจเปิดทางให้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ทั้งนี้ สำหรับปัจจัยที่ทำให้ดัชนี CPI ของฝรั่งเศสชะลอตัวลงในเดือนพฤษภาคมนั้น มาจากต้นทุนพลังงานที่ร่วงลง 8.1% เมื่อเทียบรายปี และราคาสินค้าที่ผลิตในประเทศลดลง 0.2% ส่วนเงินเฟ้อในภาคบริการซึ่งตลาดจับตาอย่างใกล้ชิดนั้น ชะลอตัวลงสู่ระดับ 2.1% จากระดับ 2.4% ซึ่งการชะลอตัวของเงินเฟ้อในฝรั่งเศสสะท้อนถึงภาวะเงินเฟ้อซบเซาที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างในกลุ่มยูโรโซนซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 20 ประเทศ 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าตัวเลขเงินเฟ้อเดือนพฤษภาคม 2568 ของบรรดาประเทศรายใหญ่ในยูโรโซนจะอยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมายของ ECB เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน โดยอิตาลี เยอรมนี และสเปน มีกำหนดเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อในวันศุกร์นี้

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)