ข่าวประจำวันที่ 30 พฤษภาคม 2568

ข่าวในประเทศ

A person sitting at a desk writing on papers

AI-generated content may be incorrect.

นายณัฐพล รังสิตพล

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. กองทุนพัฒนา SME เตรียมอัดงบเพิ่ม 2,800 ล้านบาท ออก 2 สินเชื่อใหม่ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 30 พฤษภาคม 2568)

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยผลการดำเนินงานโครงการสินเชื่อและการส่งเสริมพัฒนาเอสเอ็มอีของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ประจำปี พ.ศ.2568 ว่า ในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก ทั้งแรงกดดันทางการค้าโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า ส่งผลให้ธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2568 ลง โดยสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการ SME ไทย ทั้งในด้านต้นทุนที่สูงขึ้น การแข่งขันที่รุนแรง รายได้ที่ลดลง การขาดสภาพคล่อง และปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการช่วย SME โดยตั้งแต่ปี 2560-2567 กองทุนฯ ได้อนุมัติสินเชื่อรวมกว่า 26,800 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการกว่า 18,000 ราย ก่อให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 80,000 ล้านบาท สำหรับในปีงบประมาณ 2568 กองทุนฯ ได้เปิดตัว 2 โครงการสินเชื่อใหม่ วงเงินรวม 1,900 ล้านบาท คือ 1. โครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) วงเงิน 1,200 ล้านบาท และ 2. โครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) วงเงิน 700 ล้านบาท และได้ขยายกรอบวงเงินเพิ่มเติมอีก 400 ล้านบาท โดยได้มีการอนุมัติสินเชื่อแล้วกว่า 2,200 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม จากความสำเร็จของโครงการและผลตอบรับที่ดี กองทุนฯ จึงมีแผนเปิดตัวสินเชื่อใหม่เพิ่มเติม 2 โครงการ ภายในเดือนตุลาคม 2568 โดยโครงการแรกจะมีเงื่อนไขใกล้เคียงกับโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) ที่กู้ได้ทั้งลูกค้าเดิมของกองทุนและลูกค้าใหม่ และอีกหนึ่งโครงการจะเป็นสินเชื่อเติมทุนหนุนธุรกิจ (Top Up) ซึ่งเป็นเงินทุนช่วยเหลือและสนับสนุนลูกหนี้สินเชื่อชั้นดี (บัญชีเกรด A) เพื่อนำไปใช้ในการลงทุน เพิ่มขีดความสามารถ นวัตกรรม ปรับปรุงเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ กรอบวงเงินกว่า 2,800 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างยื่นของบประมาณในปีงบประมาณ 2568

 

A person in a blue shirt

AI-generated content may be incorrect.

นางอารดา เฟื่องทอง

อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.)

 

2. คต.เตือนผู้ผลิตอาหารปรับตัวรับมือกฎใหม่ UAE  (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 30 พฤษภาคม 2568)

นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) เปิดเผยว่า สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์(UAE) ได้ออกกฎความปลอดภัยด้านอาหาร (Food Safety Regulations) เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและยกระดับคุณภาพอาหาร ซึ่งเป็นมาตรการที่จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในฐานะศูนย์กลางระดับโลกด้านอาหาร โดยสาระสำคัญของกฎความปลอดภัยด้านอาหารดังกล่าว คือ 1. กำหนดมาตรการความปลอดภัยด้านอาหารที่เข้มงวดยิ่งขึ้น โดยมีผลต่อทั้งสินค้านำเข้าและสินค้าที่จำหน่ายภายในประเทศ เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานเข้าสู่ตลาดและเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคในทุกขั้นตอน 2. สร้างระบบการติดฉลากโภชนาการ Nutri-Mark โดยจะแบ่งผลิตภัณฑ์อาหารออกเป็น 5 ระดับ (จาก A ถึง E) อิงตามคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งจะเริ่มใช้กับผลิตภัณฑ์น้ำมันสำหรับประกอบอาหาร ผลิตภัณฑ์ประเภทขนมอบ อาหารสำหรับเด็ก ผลิตภัณฑ์จากนม และผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่ม ในเดือนมิถุนายน 2568 3. กำหนดให้มีระบบการตรวจสอบย้อนกลับสำหรับผลิตภัณฑ์จากพืช เพื่อเสริมสร้างให้เกิดความโปร่งใสในอุตสาหกรรมอาหาร 4. กำหนดให้ใช้ระบบการตรวจสอบตามความเสี่ยงโดยความถี่และความเคร่งครัดในการตรวจสอบจะขึ้นอยู่กับประเภทสินค้า ธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง อาทิ ธุรกิจอาหารที่เสียง่ายและอาหารพร้อมรับประทาน จะได้รับการ ตรวจสอบบ่อยครั้งขึ้นและมาตรการการ ตรวจสอบจะรัดกุมยิ่งขึ้น 5. สร้างระบบที่มีความรัดกุม ทำให้ความปลอดภัยด้านอาหารทั้งประเทศเป็นไปอย่างสอดคล้องกัน และ 6. ขยายขอบเขตของกฎด้านความปลอดภัยทางอาหารให้ครอบคลุมถึงธุรกิจ e-commerce

อย่างไรก็ตาม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทย โดยในปี 2567 ไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 9,952.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ประมาณ 27.23% โดยเป็นการส่งออกสินค้าประเภทอาหาร 88.45% และเครื่องดื่ม 11.55% การเติบโตของการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การออกกฎความปลอดภัยด้านอาหารถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญสำหรับภาคอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มทั้งภายในประเทศและประเทศคู่ค้าของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

 

A person in a suit and tie

AI-generated content may be incorrect.

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่

รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)

 

3. วิกฤติ "โรงงานศูนย์เหรียญ" ป่วนไทย (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 30 พฤษภาคม 2568)

หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจโพล ส.อ.ท. (FTI CEO Poll) หัวข้อ "โรงงานศูนย์เหรียญ กระทบอุตสาหกรรมไทยแค่ไหน" ซึ่งจากผลสำรวจพบว่า การเข้ามาของกลุ่มทุนจากต่างประเทศเพื่อประกอบกิจการโรงงานโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจกับพื้นที่ หรือที่เรียกว่า โรงงานศูนย์เหรียญ ซึ่งผู้บริหาร ส.อ.ท.ส่วนใหญ่มองว่าสร้างผลกระทบเชิงลบต่อภาคอุตสาหกรรมไทยอย่างมาก โดยเฉพาะประเด็นการหลีกเลี่ยงละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เช่น การลักลอบประกอบกิจการ การผลิตสินค้าไม่ได้มาตรฐาน การลักลอบเข้ามาทำงานและการนำเข้าผิดกฎหมาย โดยสาเหตุของปัญหาโรงงานศูนย์เหรียญในไทยเกิดจากกฎหมายไทยที่มีช่องโหว่ ตลอดจนผลกระทบจากสงครามการค้าที่เร่งให้เกิดการย้ายฐานการผลิตเข้ามาสวมสิทธิ์สินค้าส่งออกไทยเพื่อหลบเลี่ยงถิ่นกำเนิดสินค้า ดังนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท.จึงเสนอขอให้ภาครัฐเข้มงวดในการออกใบอนุญาตประกอบการโรงงาน และร่วมกันตรวจสอบเชิงรุกปราบปรามการกระทำความผิด การใช้ธุรกิจอำพรางของคนต่างด้าว หรือนอมินี และการใช้บัญชีม้า ผ่านการเชื่อมโยงข้อมูลและพัฒนาระบบติดตาม วิเคราะห์พฤติกรรมของนิติบุคคลที่เข้าข่ายนอมินี เช่น การจ่ายภาษี, การจ้างงาน, การนำเข้าและส่งออก, การใช้ไฟฟ้า เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ขณะเดียวกัน ผู้บริหาร ส.อ.ท. ได้ชื่นชมการทำงานของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ทุ่มเทในการจัดการโรงงานอุตสาหกรรมที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและโรงงานศูนย์เหรียญ โดยส่วนใหญ่ให้คะแนนความพึงพอใจอยู่ในระดับ "มาก" ถือเป็นโมเดลการทำงานที่ดีและมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาโรงงานศูนย์เหรียญในปัจจุบัน

 

ข่าวต่างประเทศ

A close up of a flag

AI-generated content may be incorrect.

 

4. สหรัฐเผย GDP หดตัว 0.2% ใน Q1/68 (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 30 พฤษภาคม 2568)

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2568 ในวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 0.2% ในไตรมาสดังกล่าว ขณะที่ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ระบุว่าหดตัว 0.3% หลังจากมีการขยายตัว 2.4% ในไตรมาส 4/2567 ทั้งนี้ เศรษฐกิจสหรัฐที่หดตัวในไตรมาส 1/2568 ได้รับผลกระทบจากการดิ่งลงของการใช้จ่ายของผู้บริโภค รวมทั้งตัวเลขนำเข้าที่พุ่งขึ้น 42.6% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3/2563 จากการที่บริษัทต่างๆ พากันนำเข้าสินค้าก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ในเดือนเมษายน 2568

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ ยังกล่าวว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.4% ในไตรมาส 1/2568 หลังจากปรับตัวขึ้น 2.6% ในไตรมาส 4/2567

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)