ข่าวในประเทศ
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. “เอกนัฏ” ส่งทีมสุดซอย บุกโกดังลักลอบดัดแปลงยางรถยนต์ มูลค่ากว่า 223 ล้านบาท พร้อมยึดของกลางและดำเนินคดีตามกฎหมาย (ที่มา: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, ประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2568)
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่ได้รับการร้องเรียนแจ้งเบาะแสขบวนการลักลอบนำยางรถยนต์เสื่อมสภาพ ดัดแปลงก่อนนำออก จำหน่าย ซึ่งหากผู้ซื้อนำไปใช้เป็นยางรถยนต์ก็เสี่ยงอันตรายถึงแก่ชีวิต จึงได้มอบหมายให้ นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันท์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบโดยเร่งด่วน โดยเบื้องต้น พบการจัดเก็บยางรถยนต์ผิดกฎหมายในลักษณะโกดังซุกซ่อนภายในป่าสวนยาง ตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 7 ตำบลมะขามคู่ อำเภอนิคมพัฒนา จังหวัดระยอง มีคนงานจำนวนหนึ่งอยู่ในพื้นที่ วิ่งหนีไปคนละทิศละทาง ส่วนผลตรวจสอบยางรถยนต์ พบว่าส่วนใหญ่จะถูกเจียรขัดผิวแก้มยางทั้ง 2 ด้าน เพื่อลบชื่อยี่ห้อ และวันผลิตยางออกบางตัวอักษร ซึ่งเป็นเจตนาปกปิดอำพรางข้อมูลบนยางอย่างชัดเจน จึงได้ทำการยึดอายัดทั้งหมดประมาณ 74,504 เส้น มูลค่าโดยประมาณเส้นละ 3,000 บาท รวมมูลค่าอายัดทั้งสิ้น 223,512,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนางสาวฐิติภัสร์ กล่าวว่า จากการตรวจค้นภายในตู้สำนักงาน พบเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด อาทิ ใบโอนย้ายสินค้าที่ระบุว่าเป็นของ บริษัท แอลแอลไอที (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 4 ใบ สมุดบันทึกรายละเอียดยางรถยนต์ และหินเจียรมือถือ เป็นต้น โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจยังได้ควบคุมคนงานได้รวม 14 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมา ที่เหลือเป็นชาวจีนไปดำเนินคดี จากการสอบถามคนงานแจ้งว่า เจ้าของสถานที่ดังกล่าวเป็น คนไทยและให้ชาวจีนเช่าพื้นที่ ซึ่งเจ้าของชาวจีนได้ออกนอกประเทศไปแล้ว ส่วนยางรถยนต์ส่วนใหญ่มีต้นทางมาจาก บริษัท แอลแอลไอที (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
นายพิชัย นริพทะพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
2. "พิชัย" หารือสิงคโปร์ เร่งผลักดันความตกลงดิจิทัลอาเซียน (DEFA) (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, ประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2568)
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการหารือกับนายกาน คิม ยอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์ ในระหว่างการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 25 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ว่าไทยและสิงคโปร์เห็นพ้องจะเร่งสรุปการเจรจาความตกลงลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (DEFA) ภายในปีนี้ เพื่อยกระดับอาเซียนในการเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค และจะร่วมกันรักษาโมเมนตัมการเจรจาให้ข้อตกลงมีมาตรฐานสูง ซึ่งไทยในฐานะประธานคณะกรรมการเจรจา DEFA พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนให้กรอบตกลงนี้สรุปผลได้โดยเร็ว และได้เสนอกับรมต. ซาฟรูล อาซิส ในฐานะประธานรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนแล้วถึงความพร้อมของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน สมัยพิเศษ ในเร็วๆ นี้ เพื่อเร่งรัดการเจรจาและสร้างฉันทามติในประเด็นสำคัญ โดยมุ่งหวังให้ DEFA เป็นกลไกหลักในการยกระดับเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค และเสริมความแข็งแกร่งของอาเซียนในการรับมือกับความท้าทายของเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตาม ในด้านการค้าไทย-สิงคโปร์ นายพิชัย ได้เชิญชวนให้สิงคโปร์นำเข้าข้าวจากไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว และข้าวเพื่อสุขภาพ รวมทั้งเร่งกระบวนการตรวจประเมินสินค้าเกษตร เช่น ไข่ไก่เลี้ยงแบบปล่อยอิสระ พร้อมเสนอให้พิจารณาเปิดตลาดเพิ่มเติมสำหรับสินค้าเกษตรใหม่ ๆ เช่น เลือดสุกรสุก และเนื้อไก่ดิบนวดเครื่องปรุงแช่แข็ง เพื่อตอบสนองต่อผู้บริโภคที่มีความต้องการที่หลากหลาย ทั้งนี้ สิงคโปร์ยังแสดงความสนใจลงทุนในไทยต่อเนื่องโดยเฉพาะด้านพลังงานสะอาด อิเล็กทรอนิกส์ บริการทางการเงิน และอุตสาหกรรมดิจิทัล พร้อมชื่นชมความพยายามของไทยในการสร้างบรรยากาศการลงทุนที่เอื้อต่อภาคเอกชน พร้อมสนับสนุนบทบาทความเป็นกลางของอาเซียนในการรักษาความสัมพันธ์กับคู่ค้าระดับโลกอย่างสมดุล และร่วมมือกันเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานในภูมิภาคผ่านโครงการเชื่อมโยงพลังงานไฟฟ้าในอาเซียนอย่างยั่งยืน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
3. สอท. หวั่นปิดด่านกระทบส่งออกวันละ 500 ล. (ที่มา: สยามรัฐ, ประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2568)
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จากกรณีมาตรการการเปิด-ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาตามเวลาของกองทัพบกย่อมทำให้เกิดการชะงักงันของการขนส่งสินค้าที่ต้องผ่านชายแดน ซึ่งจากการสอบถามสมาชิกของ ส.อ.ท. ปัจจุบันเริ่มได้รับผลกระทบบ้างแล้ว แต่ยังไม่สามารถประเมินความเสียหายได้ ในขณะนี้ กำลังรอสรุปตัวเลขที่ชัดเจนอยู่ โดยไทยมียอดการค้าชายแดนไทย-กัมพูชาอยู่ที่ประมาณ 1.7 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งด่านที่อรัญประเทศมียอดค้าขายมากที่สุดประมาณ 1.1 แสนล้านบาท หรือประมาณ 64% ของมูลค่าทั้งหมด ซึ่งในเวลานี้ยังประเมินไม่ได้ว่ากระทบเท่าไหร่ แต่หากคำนวณด้วยวิธีการหารจากยอดส่งออกทั้งหมดต่อวัน ก็น่าจะอยู่ที่ประมาณ 500 ล้านบาทต่อวัน แต่ต้องทำความเข้าใจด้วยว่ามูลค่า 500 ล้านบาทดังกล่าวคงไม่ได้ถูกกระทบไปทั้งหมด มีเพียงบางส่วนเท่านั้น หรือเรียกว่าถูกกระทบบ้าง โดยหวังว่าสถานการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นจะไม่ยืดเยื้อเป็นเวลานาน เพราะยิ่งยืดเยื้อมากเท่าไหร่ ผลกระทบก็มากขึ้นตามไปด้วย เนื่องจากการที่มีมาตรการไม่ปกติ ย่อมทำให้เกิดผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็เข้าใจว่าการดำเนินมาตรการดังกล่าว เพื่อทำให้เกิดการเจรจาหาข้อสรุปอย่างสันติวิธี ทั้งนี้ การเกิดข้อพิพาทดังกล่าวจะทำให้ทั้งไทยและกัมพูชาได้รับความเสียหาย ซึ่งไทยเป็นฝ่ายที่ได้ดุลการค้าจากการส่งสินค้าอุปโภค บริโภค น้ำมันเครื่อง เครื่องยนต์ เครื่องจักร ซึ่งเมื่อเกิดข้อพิพาทดังกล่าวสินค้าดังกล่าวก็จะได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งเชื่อว่าไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วไทยก็จำเป็นต้องปิดด่านชั่วคราว เพื่อให้เกิดการเจรจาบนโต๊ะ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเจรจาจะได้ผลที่ดี มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อทำให้ด่านต่างๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ จะส่งผลดีกับประชาชนทั้ง 2 ประเทศไม่ได้รับผลกระทบ และมีการค้าขายเหมือนเดิม
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่มีมาตรการรองรับผลกระทบดังกล่าว ต้องรอผลการเจรจาระหว่าง 2 ประเทศ โดยที่ผ่านมาก็มองว่าการเจรจาเป็นไปในทิศทางที่ดี และถือว่าโชคดีที่ไม่เกิดการสู้รบ หรือเกิดสงคราม ถือว่าเป็นการถอดสลัก หรือถอดชนวนได้ทันเวลาทั้ง 2 ฝ่ายก่อนที่จะเกิดการปะทะ หรือบานปลาย เพราะการเกิดสงครามย่อมสร้างความเสียหายทั้งสองฝ่าย และกระทบกระเทือนต่อการดำรงชีวิต การค้าขาย ซึ่งไม่เป็นผลดีกับใคร
ข่าวต่างประเทศ
4. เวิลด์แบงก์หั่นคาดการณ์ GDP โลกปีนี้เหลือ 2.3% เซ่นพิษภาษี "ทรัมป์" (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2568)
ธนาคารโลก เปิดเผยว่า ได้ออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกในวันนี้ โดยได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้สู่ระดับ 2.3% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนมกราคม 2568 ที่ระดับ 2.7% โดยได้รับผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทั้งนี้ ธนาคารโลกระบุว่าความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลกจะเผชิญภาวะถดถอยในปีนี้มีน้อยกว่า 10% โดยได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้สู่ระดับ 1.4% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.3% และปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในปีหน้า สู่ระดับ 1.6% จากเดิมที่ระดับ 2.0% นอกจากนี้ การขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนในปีนี้ถูกปรับลดลงสู่ระดับ 0.7% จากเดิมที่ระดับ 1.0%
อย่างไรก็ตาม ธนาคารโลกยังคงคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปีนี้ที่ระดับ 4.5% ไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิม โดยระบุว่า จีนสามารถใช้นโยบายทางการเงินและการคลังในการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจขณะเดียวกัน ธนาคารโลกคาดว่าการค้าโลกจะขยายตัว 1.8% ในปีนี้ ลดลงจากระดับ 3.4% ในปีที่แล้ว และเติบโตเพียง 1 ใน 3 ของระดับ 5.9% ซึ่งเป็นการขยายตัวในช่วงทศวรรษ 2000
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)