ข่าวในประเทศ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
1. "พาณิชย์" จัดใหญ่ "Thailand Rice Convention 2025" ระดมผู้นำเข้าข้าว (ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, ประจำวันที่ 18 มิถุนายน 2568)
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานและกล่าวปาฐกถาพิเศษ ในงาน Thailand Rice Convention (TRC) 2025 ครั้งที่ 10 ว่า งาน TRC 2025 เป็นโอกาสที่ประเทศไทยได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำด้านการผลิตและส่งออกข้าวคุณภาพของโลก พันธมิตรจากทั่วโลกที่เข้าร่วมงานวันนี้ล้วนเป็นบุคคลสำคัญในวงการค้าข้าวโลก การประชุมครั้งนี้เป็นจุดเริ่มของการสร้างเครือข่าย สร้างพันธมิตรทางการค้า และเพื่อสร้างโอกาสให้มีการพบปะเจรจาธุรกิจการค้าระหว่างผู้ส่งออกข้าวไทยกับผู้นำเข้าข้าว รวมถึงผู้ค้าข้าว (Trader) นำไปสู่การตกลงซื้อขายข้าว เพื่อรองรับผลผลิตข้าวไทย หลังจากได้หารือผู้นำเข้าข้าวรายสำคัญของโลก คาดว่าจะมีคำสั่งซื้อไม่น้อยกว่า 100,000 ตัน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 2,000 ล้านบาท ทำให้ยอดซื้อขายข้าวให้ถึงเป้าหมายการส่งออกในปี 2568 ที่ 7.5 ล้านตัน
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมข้าวครั้งนี้ ได้มีผู้เข้าร่วมงานกว่า 500 คน จากทั้งในและต่างประเทศกว่า 30 ประเทศ ได้แก่ ผู้แทนจากหน่วยงานรัฐบาลต่างประเทศ ผู้นำเข้าและส่งออกข้าว ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชน สื่อมวลชน รวมถึงชาวนาและเกษตรกรไทยซึ่งเป็นตัวแทนจากกลุ่มอาชีพภาคเกษตรอันเป็นรากฐานสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของไทย สำหรับความพิเศษของการจัดงานในปีนี้ คือ การออกแบบการจัดงานโดยเชื่อมโยงแนวคิดด้านคุณภาพมาตรฐาน ความยั่งยืน และมรดกภูมิปัญญาวัฒนธรรมของข้าวไทยเข้าไว้ด้วยกันอย่างเป็นระบบ ภายใต้แนวคิดหลัก "Global Rice from Thai Legacy" ผ่านกิจกรรมภายในงานที่สะท้อนภาพลักษณ์ของไทยในฐานะผู้นำด้าน "ข้าวคุณภาพระดับโลก" และความพร้อมของไทยที่จะตอบโจทย์ความต้องการข้าวที่หลากหลายของตลาดโลก และไทยพร้อมเสมอที่จะเป็นแหล่งคลังอาหารและคลังข้าวของโลก ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่เสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) ของโลกอย่างยั่งยืนต่อไป
นายนภินทร ศรีสรรพางค์
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
2. 'นภินทร' นำทีมเยือนคุนหมิง ช่วยผู้ประกอบการขยายโอกาสการค้า (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 18 มิถุนายน 2568)
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จะนำคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์เดินทางเยือนนครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 18-20 มิถุนายน 2568 เพื่อเข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้าจีน-เอเชียใต้ ครั้งที่ 9 และงานแสดงสินค้านำเข้า-ส่งออกจีน (คุนหมิง) ครั้งที่ 29 (The 9th China-South Asia Expo and the 29th China Kunming Import and Export Fair) และเข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้า Top Thai Brands Kunming 2025 เยี่ยมชมคูหา Special Partner Country (Thailand Pavilion) และเยี่ยมชมคูหาผู้ประกอบการไทย คูหาอื่นๆ ในงาน สำหรับการเดินทางครั้งนี้มีกำหนดที่จะพบปะหารือกับผู้บริหารระดับสูงมณฑลยูนนานที่ได้เชิญไทยมาร่วมงานในฐานะประเทศหุ้นส่วนพิเศษ ในวาระครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ไทย-จีน โดยจะใช้โอกาสนี้ขอบคุณ หลังจากที่เดือนมีนาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้นำคณะเดินทางเยือนสิบสองปันนาและนครคุนหมิง เพื่อสำรวจเส้นทางโลจิสติกส์เตรียมรองรับฤดูกาลผลไม้ และได้ขอให้ฝ่ายจีนอำนวยความสะดวกหน้าด่าน ลดการสุ่มตรวจสาร BY2 ซึ่งปรากฏว่าด่านโม่ฮานมีการเพิ่มกำลังคน อุปกรณ์ เวลาทำงาน ห้องแลป ทำให้ช่วยลดความแออัด ส่งผลให้ไทยสามารถส่งออกผลไม้และทุเรียนได้สะดวกขึ้น ขณะเดียวกัน จะหารือกับผู้บริหารมณฑลยูนนาน ขอให้ช่วยสนับสนุนการเปิดตลาดนำเข้าผลไม้ชนิดอื่น เช่น อินทะผาลัมและสละ สนับสนุนการนำเข้าโคมีชีวิตและเนื้อสัตว์แช่แข็งของไทยผ่านทางท่าเรือเชียงแสนและเข้าสู่จีนในท่าเรือกวนเหล่ย ขอให้ทูตพาณิชย์ประสานงานกับหน่วยงานด่านหรือศุลกากรในพื้นที่ เพื่อแก้ไขปัญหาการขนส่ง และจะผลักดันให้มีการทำธุรกิจร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการไทย-จีน
อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้จะหาทางขยายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว โดยยืนยันว่ารัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับมาตรการรักษาความปลอดภัยในทุกมิติ ทั้งด้านชีวิต ทรัพย์สิน และสุขภาพของนักท่องเที่ยว ร่วมมือผลักดันร้านอาหารไทยที่ได้ตรา Thai SELECT ของกระทรวงพาณิชย์ เพราะเป็นร้านที่มีคุณภาพ ทั้งรสชาติ บริการ และการใช้วัตถุดิบไทยแท้ โดยปัจจุบัน ในมณฑลยูนานมีจำนวนทั้งสิ้น 11 ร้าน 18 สาขา ขอให้มณฑลยูนนานสนับสนุนการเปิดร้านอาหารไทยในเมืองรองเพิ่มเติม เช่น ต้าหลี่ ลี่เจียง และจิ่งหง และร่วมมือธุรกิจสุขภาพ เพราะมณฑลยูนนานเป็นแหล่งผลิตสมุนไพรชั้นนำของจีน และเป็นหนึ่งในศูนย์กลางด้านแพทย์แผนจีนที่สำคัญ ขณะที่ไทยประเทศไทยมีองค์ความรู้ด้านการแพทย์โบราณ จึงสร้างความร่วมมือระหว่างกันได้
นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ
ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
3. ส.อ.ท.วอนรัฐเร่งเจรจา "ภาษีทรัมป์" (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 18 มิถุนายน 2568)
นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า การส่งออกสินค้ากลุ่มเหล็กและอะลูมิเนียมของประเทศไทยไปยังสหรัฐฯ เผชิญปัญหาและความไม่แน่นอนอีกครั้ง จากการประกาศเพิ่มภาษีตามมาตรา 232 (Section 232 Tariffs) ภายใต้กฎหมาย Trade Expansion Act 1962 ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีสหรัฐฯ กำหนดภาษี หรือกำหนดมาตรการทางการค้ากับการนำเข้าสินค้าใดๆที่เป็นภาวะคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ (national security) ซึ่งล่าสุดหลังจากมีการประกาศเพิ่มภาษีตามมาตรา 232 อีกครั้งในวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามคำสั่ง วันที่ 3 มิถุนายน 2568 มีผลบังคับทันทีในวันถัดมาคือวันที่ 4 มิถุนายน 2568 โดยเพิ่มภาษีจาก 25% เป็น 50% ทั้งเหล็กและอะลูมิเนียม ส่งผลกระทบทันทีแบบตั้งตัวไม่ทันกับผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะสินค้าระหว่างส่งมอบให้กับลูกค้าในต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่คือสินค้าท่อเหล็ก โดยผลกระทบที่เกิดในกรณีที่ไม่ได้ตกลงกันไว้ว่า ให้ผู้นำเข้าจ่ายภาษีทั้งหมด ก็มีการเจรจาขอให้ช่วยกันจ่าย เช่น คนละครึ่งทำให้อาจต้องขาดทุน หรือกรณีคำสั่งซื้อที่ยังไม่ส่งมอบ มีทั้งการเจรจาขอลดราคา หรือขอยกเลิกคำสั่งซื้อทั้งหมด ทั้งนี้ ล่าสุดสมาชิกกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กและกลุ่มอุตสาหกรรมอะลูมิเนียม ส.อ.ท. ได้ร้องขอให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เพื่อแจ้งให้หัวหน้าคณะเจรจาของรัฐบาลในการเจรจาภาษีของสหรัฐฯ เพื่อขอให้เจรจาคงอัตราภาษีตามมาตรา 232 ไว้ที่ไม่เกิน 25% หรือไม่สูงกว่าประเทศคู่แข่งอื่นๆที่ส่งออกไปสหรัฐฯ เนื่องจากประเทศไทยส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กและอะลูมิเนียมไปสหรัฐฯน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และยืนยันว่าประเทศไทย ไม่ได้สร้างภาวะคุกคามต่ออุตสาหกรรมเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ และขอให้พ่วงการเจรจาอัตราภาษีตามมาตรา 232 ไปกับการเจรจา Reciprocal Tariff ที่จะครบกำหนดเส้นตายของการขยายเวลาในวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 นี้
อย่างไรก็ตาม สำหรับผลลัพธ์ของการเจรจาอัตราภาษีตามมาตรา 232 ในครั้งนี้มีความสำคัญกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ของไทยบางประเภทด้วย เนื่องจาก ขณะนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ขยายขอบเขตการบังคับใช้มาตรา 232 ไปยังสินค้าอื่นๆ เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์ รวมถึงกำลังพิจารณาจะใช้บังคับกับเซมิคอนดักเตอร์ ธาตุแรร์เอิร์ธ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ทองแดง ผลิตภัณฑ์ยา และรถบรรทุกและชิ้นส่วน เป็นต้น
ข่าวต่างประเทศ
4. ZEW เผยดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจเยอรมนีเดือนมิ.ย. พุ่งแรงสวนทางคาดการณ์ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 18 มิถุนายน 2568)
สถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ZEW ของเยอรมนี เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ (Economic Sentiment Index) ประจำเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นมาตรวัดสำคัญที่สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยในรายงานระบุว่า ดัชนีพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 47.5 จุด ทะยานขึ้นจากระดับ 25.2 จุดในเดือนพฤษภาคม 2568 และยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 35.0 จุด ทั้งนี้ ทางด้านอาคิม แวมบาค ประธานสถาบัน ZEW กล่าวว่า ความเชื่อมั่นกำลังฟื้นตัวขึ้น โดยปัจจัยหนุนสำคัญมาจากมาตรการทางการคลังของรัฐบาลเยอรมนี ประกอบกับการตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งอาจเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจเยอรมนีหลุดพ้นจากภาวะซบเซาได้
อย่างไรก็ตาม แม้ดัชนีสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันจะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ -72.0 จุด จาก -82.0 จุดในเดือนก่อนหน้า และดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ -75.0 จุด แต่ก็ยังอยู่ในแดนลบอย่างชัดเจน
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)