ข่าวในประเทศ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
1. ส่งออกเดือน พ.ค.พุ่ง 1 ล้านล้าน (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 19 มิถุนายน2568)
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการค้าระหว่างประเทศของไทยว่า เดือนพฤษภาคม 2568 ที่การส่งออกมีมูลค่า 31,044.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 1.025 ล้านล้านบาท คิดเป็นมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ขยายตัว 18.4% เป็นการขยายตัวต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 11 เป็นการเติบโตสูงสุด ในรอบ 38 เดือน นับตั้งแต่ มีนาคม 2565 ส่วน 5 เดือนแรก (มกราคม - พฤษภาคม) ปีนี้มีมูลค่า 138,202 ล้านเหรียญฯ หรือ 4.640 ล้านล้านบาท ขยายตัวได้ 14.9% มาจากการเติบโตของสินค้าอุตสาหกรรม 22.9% เช่น คอมพิวเตอร์ แผงวงจรไฟฟ้า ขณะที่ตลาดส่งออกที่เติบโตดี อาทิ สหรัฐฯ เพิ่ม 35.1%, จีน เพิ่ม 28.0% ซึ่งปีนี้ถือเป็นปีทองของการส่งออกเราไม่ได้เติบโตเพียง เพราะนโยบายต่างประเทศของบางประเทศ แต่มาจากการนำเข้าสินค้าทุนการลงทุนที่ทำให้การส่งออกบวก มั่นใจว่าสิ้นปีนี้จะเห็นตัวเลขส่งออกขยายตัวแตะ 2 หลัก หรือไม่ต่ำกว่า 10% ดีกว่าที่หลายหน่วยงานบอกว่าจะติดลบ
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า เดือนพฤษภาคม 2568 การนำเข้าของไทยมีมูลค่า 29,928 ล้านเหรียญฯ ขยายตัว 18% คิดเป็น 1.001 ล้านล้านบาท เกินดุลการค้า 1,116 ล้านเหรียญฯ หากจะทำให้การส่งออกปีนี้ขยายตัวได้ 10% ในช่วง 7 เดือนที่เหลือต้องส่งออกให้ได้ เฉลี่ยเดือนละ 27,482.9 ล้านเหรียญฯ
ดร. จุฬา สุขมานพ
เลขาธิการคณะกรรมการ นโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.)
2. สกพอ. รุกตลาดยุโรปดึงบริษัทชั้นนำ ลงทุนอุตสาหกรรมสีเขียวใน EEC (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, ประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2568)
ดร. จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) นำคณะเดินทางไปราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 8 – 15 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อชักชวนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม Bio-Circular-Green (BCG) โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อาหาร เคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมหมุนเวียน โดยคณะฯ ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มบริษัทชั้นนำด้านการเกษตรอัจฉริยะ ได้แก่ Rijk Zwaan, Priva, Van der Hoeven, Koppert Biologic และ Hydrosat กลุ่มบริษัทและองค์กรชั้นนำด้านอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ Unilever, Thai Union และ FoodX กลุ่มบริษัทชั้นนำด้านเคมีชีวภาพ ได้แก่ Corbion และ Avantium และกลุ่มบริษัทด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่ Oryx Stainless ทั้งนี้ การเข้าร่วมประชุมและพบปะบริษัทชั้นนำจากเนเธอร์แลนด์ดังกกล่าว สกพอ. สวทช. และ กนอ. ได้ร่วมกันนำเสนอความพร้อมในการรองรับการลงทุน การสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์ในด้านภาษีและมิใช่ภาษีสำหรับการลงทุน การส่งเสริมด้านโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านการลงทุน และการสนับสนุนด้านวิจัยและพัฒนา ตลอดจนโอกาสในการลงทุนของอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสและพร้อมดึงดูดนักลงทุนให้เข้าสู่พื้นที่อีอีซีต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ สกพอ. และคณะฯ ได้มีโอกาสเข้าพบหารือกับบริษัทที่เข้าร่วมงาน GreenTech Amsterdam 2025 งานแสดงสินค้าและการประชุมระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ถือเป็นเวทีสำคัญของผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ด้านเกษตรสมัยใหม่ และอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ สกพอ. ต้องการส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) ที่ออกแบบให้เป็นพื้นที่รองรับการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ และเป็นศูนย์รวมระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำ (Innovation Ecosystem) ที่ช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนไทย และภาคเอกชนจากต่างประเทศ
นายนาวา จันทนสุรคน
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
3. สอท.ชี้เชื่อมั่นเอกชนดิ่งเหว (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2568)
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 88.1 ลดลงจาก 89.9 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์อุทกภัยและการรั่วไหลของสารเคมีในภาคเหนือ กระทบต่อภาคเกษตรและกิจกรรม ทางเศรษฐกิจในภูมิภาค รวมทั้งคู่ค้าในต่างประเทศมีแนวโน้มชะลอการสั่งซื้อสินค้า จากการเร่งสต๊อกสินค้าในช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์ยาง เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีปัญหาจากความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดน ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการค้าชายแดนในระยะสั้น รวมถึงค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออก ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ อาทิ ข้าว ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง กระทบกำลังซื้อในภูมิภาค ขณะเดียวกันยังมีภาวะอุปทานส่วนเกินในจีนและความไม่แน่นอนของการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐ ส่งผลให้เกิดการทะลักเข้ามาของสินค้าจีนเพิ่มขึ้นกระทบยอดขายผู้ผลิตในประเทศ และปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้ธุรกิจ ส่งผลให้เกิดการชะลอการลงทุนสะท้อนจากยอดการจัดตั้งธุรกิจในเดือนมกราคม - เมษายน 2568 ที่หดตัวจนติดลบที่ 4.39% ขณะที่ยอดการเลิกกิจการเพิ่มขึ้น 8.34% ทั้งนี้ ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีปัจจัยบวกจากธนาคารพาณิชย์ ที่ได้ทยอยปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน ทำให้ช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของภาคธุรกิจและครัวเรือน รวมถึงต้นทุนค่าพลังงานยังคงทรงตัวจากมาตรการตรึงราคาของภาครัฐ เช่น ค่าไฟฟ้า 3.98 บาท งวดเดือนพฤษภาคม - สิงหาคมนี้ และน้ำมันดีเซล 31.94 บาท สำหรับปัจจัยที่ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ เศรษฐกิจ ในประเทศ 64.2% เศรษฐกิจโลก 61.2% สถานการณ์การเมืองในประเทศ 50.3% ราคาน้ำมัน 26.5% และดอกเบี้ยเงินกู้ 17.6% ส่วนปัจจัยที่มีความกังวลลดลง ได้แก่ อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) 32.8% ขณะที่ดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า ปรับตัวลดลงเช่นกัน อยู่ที่ระดับ 91.7 ลดลงจาก 93.3 ในเดือนเมษายน 2568 เนื่องจากผู้ประกอบการยังกังวลเกี่ยวกับภาษีตอบโต้ของสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนมีข้อเสนอให้ภาครัฐพิจารณาใน 3 เรื่อง คือ 1. ขอให้ภาครัฐเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายและออกมาตรการป้องกันการแอบอ้างถิ่นกำเนิดสินค้าไทย เช่น พัฒนาระบบข้อมูลติดตามข้อมูลการนำเข้าและส่งออกไปยังสหรัฐ การตรวจสอบ ย้อนกลับโรงงานที่ยื่นขอใบรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าและการทบทวนเงื่อนไขการประกอบกิจการในเขตปลอดอากร เป็นต้น 2. ขอให้ภาครัฐเร่งออกมาตรการบรรเทาผลกระทบผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าและการขึ้นภาษีนำเข้าจากสหรัฐ รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน อาทิ การขยายตลาดใหม่ทั้งในและต่างประเทศ สินเชื่อเสริมสภาพคล่อง การลดต้นทุนการผลิต และ 3. ขอให้ภาครัฐจัดสรรงบประมาณในการ ส่งเสริมผลิตภาพการผลิตด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ สำหรับ SMEs และการนำเทคโนโลยีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
ข่าวต่างประเทศ
4. เฟดหั่นคาดการณ์ GDP สหรัฐเหลือ 1.4% ปีนี้ จากเดิม 1.7% (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2568)
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า ได้มีมติตรึงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมในวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ตามการคาดการณ์ของตลาด ซึ่งในการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 0.50% ในปีนี้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปี 2569 และลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในปี 2570 ทั้งนี้ Dot Plot บ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้งหมด 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 1% ในช่วงปี 2568-2570 ส่วนการคาดการณ์เกี่ยวกับเศรษฐกิจสหรัฐนั้น เฟดได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้ สู่ระดับ 1.4% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.7% และได้ปรับเพิ่มคาดการณ์เงินเฟ้อในปีนี้ สู่ระดับ 3.1% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.8% ซึ่งเฟดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568, 2569 และ 2570 อยู่ที่ระดับ 1.4%, 1.6% และ 1.8% ตามลำดับ จากเดิมคาดการณ์ในเดือนมีนาคม ว่าจะมีการขยายตัว 1.7%, 1.8% และ 1.8% ตามลำดับ ขณะที่อัตราการขยายตัวในระยะยาวยังคงอยู่ที่ระดับ 1.8%
อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ เฟดคาดการณ์อัตราว่างงานในปี 2568, 2569 และ 2570 อยู่ที่ระดับ 4.5%, 4.5% และ 4.4% ตามลำดับ จากเดิมคาดการณ์ในเดือนมีนาคม ว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.4%, 4.3% และ 4.3% ตามลำดับ ขณะที่อัตราการว่างงานระยะยาวยังคงอยู่ที่ระดับ 4.2% ขณะเดียวกัน เฟดคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อตามดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ในปี 2568, 2569 และ 2570 อยู่ที่ระดับ 3.1%, 2.4% และ 2.1% ตามลำดับ หลังจากคาดการณ์ในเดือนมีนนาคม ว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.8%, 2.2% และ 2.0% ตามลำดับ
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)