ข่าวประจำวันที่ 23 มิถุนายน 2568

ข่าวในประเทศ

A person in a suit

AI-generated content may be incorrect.

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา

อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

1. 7 กลยุทธ์อัพเกรดเอสเอ็มอี (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 23 มิถุนายน 2568)

น.ส.ณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม เปิดเผยว่า ได้ปรับกลยุทธ์ธุรกิจ 7 ด้าน เพื่อลดผลกระทบสงครามการค้าต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เน้นกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ หรือมีความเสี่ยงสูง เพื่อให้ปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการปรับตัวใน 7 ด้าน ได้แก่ 1. ส่งเสริมกระจายความเสี่ยงจากตลาดเดียว โดยลดการพึ่งพาตลาดส่งออกตลาดเดียว หาตลาดใหม่ และใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้ากับประเทศต่างๆ ให้ได้มากที่สุด 2. ยกระดับมาตรฐานสินค้า ซึ่งจะผลักดันให้เอสเอ็มอียกระดับมาตรฐานสากล สร้างมูลค่าเพิ่ม และสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3. การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและดิจิทัล ในการปรับโมเดลธุรกิจและเข้าร่วมแพลตฟอร์มระหว่างประเทศ 4. บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการปรับกระบวนการผลิตให้ประหยัดพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร และลดความสูญเสีย 5. การติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงนโยบาย โดยการติดตามสถานการณ์ ประเมินผลกระทบต่อสินค้าและธุรกิจ 6. เตรียมความพร้อมด้านกฎระเบียบและกติกาสากล โดยการทำความเข้าใจกฎ และมาตรการทางการค้าของประเทศปลายทาง และ 7. ส่งเสริมการเข้าร่วมโครงการสนับสนุนของภาครัฐ ทั้งนี้ สำหรับแนวทางการดำเนินงานในปี 2569 ดีพร้อมจะเน้นส่งเสริมการเรียนรู้ และปรับตัว พัฒนาองค์ความรู้ด้านต่างๆ เพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ทรัพย์สินทางปัญญา ข้อกำหนดใหม่ กฎระเบียบการนำเข้าสินค้าของสหรัฐ ด้านการตลาดดิจิทัล การบริหารจัดการยุคใหม่ การใช้เทคโนโลยี การบริหารความเสี่ยง แผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ และเรียนรู้แนวทางการปรับกลยุทธ์ธุรกิจ

อย่างไรก็ตาม ได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่มุ่งเน้นในสาขาอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐ เช่น กลุ่มสินค้าเกษตร กลุ่มไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ประเทศคู่แข่ง โดนภาษีต่ำกว่า และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผล กระทบมากตลอดห่วงโซ่การผลิต ส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบสงครามการค้า ดีพร้อมจะให้ความสำคัญกับผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกไปยังสหรัฐ เป็นอันดับแรกยังมีเรื่องการเร่งพัฒนาผู้ผลิตชิ้นส่วนในประเทศที่ต้องการเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตของยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ให้เพิ่มมากขึ้น จะเน้นการพัฒนาศักยภาพผู้ผลิตชิ้นส่วนให้สามารถรองรับการขยายตัวของการผลิตรถยนต์ไฮบริดในอนาคต

 

A person sitting at a desk

AI-generated content may be incorrect.

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ

เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม

 

2. อุตฯ ย้ำห้ามตั้งโรงเหล็กเส้น 5 ปี (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 23 มิถุนายน 2568)

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงนโยบายเซฟอุตสาหกรรมไทยของ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ว่า นอกจากการดำเนินการสั่งจับสั่งปิดโรงงานเหล็กไม่ได้มาตรฐานอย่างต่อเนื่องของนายเอกนัฏ ได้ยกระดับมาตรการควบคุมเหล็กให้มีคุณภาพให้เข้มข้นยิ่งขึ้น โดยเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน 2568 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติในหลักการ ร่างประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง ห้ามตั้งหรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตหรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต ทุกขนาดทุกท้องที่ในราชอาณาจักร พ.ศ. ... เป็นระยะเวลา 5 ปี มีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 9 มกราคม 2573 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ทั้งนี้ จากผลการตรวจสอบคุณภาพเหล็กของโรงงานหลอมเหล็กจากเตา IF (Induction Furnace) จำนวน 7 แห่ง จาก 11 แห่งทั่วประเทศ โดยทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่ามีผลิตภัณฑ์เหล็กไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะค่าโบรอนต่ำกว่ามาตรฐาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นใจของผู้บริโภคเป็นวงกว้าง และขณะนี้ยังเหลือโรงงานอีก 4 แห่ง ที่อยู่ระหว่างรอผลการตรวจสอบ ซึ่งคาดว่าจะทราบผลในไม่ช้า การเปิดเผยข้อมูลในครั้งนี้ตอกย้ำถึงความจำเป็นในการยกระดับมาตรฐานและการควบคุมคุณภาพเหล็ก เพื่อให้มั่นใจว่าเหล็กที่ส่งออกสู่ตลาดมีคุณภาพสูงตามเกณฑ์ และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม สำหรับสาระสำคัญของประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมฉบับนี้ คือ การขยายระยะเวลาการห้ามตั้ง หรือขยายโรงงานผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต หรือเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตทุกขนาด ทุกท้องที่ในราชอาณาจักรออกไปอีกเป็นระยะเวลา 5 ปี ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2568 ถึงวันที่ 9 มกราคม 2573 (เดิมสิ้นสุดการใช้บังคับเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2568) เพื่อเป็นการควบคุมกำลังการผลิตเหล็กเส้นเสริมคอนกรีตและเหล็กแท่งเล็กสำหรับเหล็กเส้นเสริมคอนกรีต เพื่อแก้ไขปัญหากำลังการผลิตเกินความต้องการบริโภค (Over Supply) และใช้โอกาสนี้เพื่อเซฟอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ควบคุมคุณภาพการผลิต โดยเฉพาะมาตรฐานผลิตเหล็กเส้นชนิด IF ที่พบปัญหาอยู่บ่อยครั้งจากการลงตรวจของทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม

 

A person in a suit

AI-generated content may be incorrect.

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์

นายกสมาคมโรงแรมไทย

 

3. หวั่นโรงแรม-เอสเอ็มอีเจ๊ง (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 23 มิถุนายน 2568)

นายเทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ นายกสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ทบทวนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉพาะกลุ่มอาชีพในภาคบริการและอุตสาหกรรมโรงแรม ตามที่กระทรวงแรงงาน และคณะกรรมการไตรภาคีมีมติเห็นชอบให้ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 400 บาท/วัน มีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เป็นต้นไป โดยเฉพาะกลุ่มอาชีพภาคบริการและโรงแรมตั้งแต่ระดับ 2 ดาวขึ้นไป หรือโรงแรมที่มีจำนวนห้องพักตั้งแต่ 50 ห้องขึ้นไป รวมถึงสถานบริการอื่นๆ โดยสมาคมโรงแรมไทยขอให้นายกรัฐมนตรีส่งเรื่องกลับไปยังคณะกรรมการไตรภาคี เพื่อทบทวนมติและยกเลิกการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉพาะกลุ่มอาชีพ และขอให้พิจารณานโยบายภาพรวม ที่สะท้อนความเป็นธรรม และความสามารถในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการในทุกระดับด้วย ด้วยเหตุผลหลัก ดังนี้ 1.การท่องเที่ยวที่ชะลอตัวจำนวนนักท่องเที่ยวลดลงต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดหลักในเอเชีย เช่น จีน มาเลเซีย และรัสเซีย ทั้งยังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก รวมถึงด้านความปลอดภัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเดินทางเข้าประเทศ ส่งผลให้รายได้โรงแรมลดลง ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าพลังงาน และแรงงานสูงขึ้นอย่างมากอยู่แล้ว การขึ้นค่าแรงเวลานี้จะซ้ำเติมผู้ประกอบการ และกระทบต่อธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ 2. การขึ้นค่าแรงเฉพาะกลุ่มอาชีพ เช่น โรงแรม ตั้งแต่ 2 ดาวขึ้นไป ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมระหว่างผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเดียวกัน ทั้งยังสร้างแรงจูงใจทางลบ อาจทำให้บางรายไม่ขอใบอนุญาตโรงแรม หรือลดการพัฒนายกระดับมาตรฐาน ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยรวม 3. การเพิ่มต้นทุนเฉพาะกลุ่ม โดยไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจและอุปสงค์ของตลาด อาจทำให้ไทยเสียความสามารถในการแข่งขันเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านและในตลาดท่องเที่ยวโลก

อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์ SME ไทย กล่าวว่า สมาพันธ์ขอเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนมติการขึ้นค่าแรง 400 บาท ในพื้นที่กรุงเทพฯ และบางกิจการในต่างจังหวัดอย่างเร่งด่วน เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อธุรกิจขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ที่มีข้อจำกัดด้านเงินทุนและกำลังคน เพราะผลกระทบของการขึ้นค่าแรงเมื่อ 1 มกราคม 2568 ยังไม่ทันคลี่คลาย ขณะที่เศรษฐกิจยังเปราะบางการเพิ่มภาระต้นทุนซ้ำซ้อนอาจทำให้ SMEs ต้องปิดกิจการ หรือเลิกจ้างงาน โดยธุรกิจบริการและก่อสร้างซึ่งใช้แรงงานเป็นหลัก จะได้รับผลกระทบรุนแรงส่งผลให้โครงการที่มีราคาสัญญาตายตัว เช่น งานภาครัฐ งานโครงการ ไม่สามารถปรับราคาได้ทันที ทำให้ขาดทุนหรือถูกบีบให้ทิ้งงาน และมีแนวโน้มที่ผู้ประกอบการจะลดแรงงานประจำหันไปจ้างงานนอกระบบเสี่ยงต่อเสถียรภาพแรงงานระยะยาว ซึ่งการขึ้นค่าแรงในกรุงเทพฯ กว่า 7.2% สูงมากกลุ่มแรงงานขั้นต่ำจำนวนมากยังขาดทักษะที่สอดคล้องกับค่าแรง และการที่รัฐบาลไม่มีโรดแมปหรือหลักการที่ชัดเจนในการกำหนดนโยบายค่าแรงกระทบต่อความเชื่อมั่นนักลงทุน

 

ข่าวต่างประเทศ

 

4. PMI ภาคการผลิตออสเตรเลียทรงตัวในเดือนมิ.ย. ขณะภาคบริการขยายตัวเพิ่มขึ้น (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 23 มิถุนายน 2568)

เอสแอนด์พี โกลบอล (S&P Global) เปิดเผยรายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นของประเทศออสเตรเลีย อยู่ที่ระดับ 51.0 ในเดือนมิถุนายน 2568                ไม่เปลี่ยนแปลงจากระดับ 51.0 ในเดือนพฤษภาคม ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการขั้นต้นดีดตัวขึ้นแตะระดับ 51.3 ในเดือนมิถุนายน จากระดับ 50.6 ในเดือนพฤษภาคม ส่วนดัชนี PMI รวมภาคการผลิตและภาคบริการขั้นต้นเพิ่มขึ้นแตะระดับ 51.2 ในเดือนมิถุนายน จากระดับ 50.5 ในเดือนพฤษภาคม

อย่างไรก็ตาม เป็นการปรับตัวขึ้นติดต่อกันเดือนที่ 9 โดยได้แรงหนุนจากกระแสการไหลเข้าของธุรกิจใหม่ๆ ที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น แม้ว่ายอดสั่งซื้อเพื่อการส่งออกชะลอตัวลงอย่างมากก็ตาม

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)