ข่าวในประเทศ
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. รมว.อุตสาหกรรม เปิดโครงการเสริมทักษะอาชีพ สู่ Soft Power ชุมชน (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 24 มิถุนายน 2568)
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม น.ส.ณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม พร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม เดินทางมาเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ “เสริมทักษะอาชีพ สู่ Soft Power ชุมชน ให้ดีพร้อม" หลักสูตร "อาหารพื้นบ้าน ทำง่าย ขายคล่อง Soft Power ไทย" ประจำปี 2568 ที่ศูนย์ประสานแผนพัฒนาท้องถิ่นประจำ อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก สำหรับโครงการดังกล่าวจะเป็นการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม มีเป้าหมาย เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนให้สามารถพึ่งพาตนเอง ทำประโยชน์แก่ชุมชนและสังคม รัฐบาลจึงได้มีนโยบายในการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก เพื่อเพิ่มศักยภาพและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้สามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น และกระจายรายได้สู่ชุมชน ลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำของรายได้ประชาชน สร้างโอกาสให้ประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ ที่จะส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง เกิดการยกระดับคุมคุณคุณภาพชีวิต และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งนี้ รัฐบาล จึงได้เร่งผลักดันให้เกิดการยกระดับและพัฒนาด้านความรู้ ความสามารถ และคิดสร้างสรรค์ของประชาชนให้สร้างมูลค่า และสร้างรายได้ รวมทั้งการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาต่อยอดศิลปะ วัฒนธรรมและส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อนำมาต่อยอดในการสร้างมูลค่าเพิ่มผลิตภัณฑ์อาหารชุมชน และผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน
อย่างไรก็ตาม ดังนั้นกระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จัดกิจกรรมฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการ “เสริมทักษะอาชีพ สู่ Soft Power ชุมชน ให้ดีพร้อม” หลักสูตร “อาหารพื้นบ้าน ทำง่าย ขายคล่อง Soft Power ไทย” โดยผู้เข้าร่วมจะได้รับความรู้และฝึกฝนทักษะด้านอาชีพในการสร้างสรรค์เมนูอาหารจากวัตถุดิบพื้นถิ่นในชุมชน โดยกำหนดฐานการเรียนรู้ประกอบด้วย ฐานที่ 1 การทำปลาส้ม ฐานที่ 2 การทำน้ำพริก ฐานที่ 3 การทำไข่เค็ม ซึ่งการจัดกิจกรรมในวันนี้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หวังว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการให้ทักษะ ให้เครื่องมือ ให้โอกาส และให้ธุรกิจที่ดีสู่ชุมชนในจังหวัดพิษณุโลก เพื่อให้ผู้เข้าร่วมโครงการอบรมสามารถสร้างสรรค์เศรษฐกิจชุมชนให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์
ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์
2. สนค.ชี้ช่องเอกชนพัฒนาเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 24 มิถุนายน 2568)
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค.ได้ทำการสำรวจตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะทั่วโลก พบข้อมูลจาก Precedence Research ระบุว่าปี 2567 ตลาดมีมูลค่า 34,030 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คาดว่าจะเพิ่มเป็น 37,160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2568 โดยช่วงปี 2568-2577 คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 9.08% ต่อปี จนมีมูลค่าสูงถึง 81,190 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2577 การเติบโตดังกล่าว ได้รับแรงหนุนจากการพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) ที่ช่วยสนับสนุนการสร้างเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะที่ซับซ้อนให้ใช้งานได้ง่าย โดยเฉพาะผู้บริโภคกลุ่ม Millennials และ Gen Z ที่ต้องการควบคุมและสั่งการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ภายในบ้านด้วยอินเทอร์เน็ต เนื่องจากให้ความสำคัญกับความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และความใส่ใจสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ในส่วนของไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยกระทรวงพลังงานได้ออกแผนอนุรักษ์พลังงาน (Energy Efficiency Plan : EEP) ส่งเสริมให้ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยีประหยัดพลังงาน เช่น IoT Big Data และ AI ควบคู่กับการสนับสนุนการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า อัจฉริยะที่มีฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 และกระทรวงอุตสาหกรรมยังได้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ระยะที่ 1 (พ.ศ.2566-2570) มีเป้าหมายเพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตอุปกรณ์และระบบอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะในอาเซียนภายในปี 2570 ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ มีบทบาทพัฒนาขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทย โดยดำเนินนโยบายปรับโครงสร้างการส่งออกให้ทันสมัยมุ่งส่งออกในกลุ่มธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยี พร้อมทั้งผลักดันการเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อเปิดตลาดและขยายโอกาสให้สินค้าไทยเข้าถึงผู้บริโภคในต่างประเทศได้มากขึ้น และสนับสนุนข้อมูลทางการค้าและส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการไทยให้สามารถแข่งขันในระดับโลก
อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้มความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ การพัฒนาของเทคโนโลยีระบบอัจฉริยะ และ AI ที่ขยายตัวรวดเร็วทั่วโลก ส่งผลให้ไทยต้องเร่งเพิ่มขีด ความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ภาครัฐและภาคเอกชนควรร่วมมือกันยกระดับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทย โดยอาจนำนโยบายของประเทศที่ประสบความสำเร็จมาปรับใช้ให้เข้ากับ บริบทของไทย พร้อมทั้งส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าให้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่ อุปทานของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมถึงควรสนับสนุนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การวิจัยพัฒนา และการพัฒนาทักษะแรงงานในด้านเทคโนโลยี ขั้นสูง ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติ เพิ่มโอกาสในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และยกระดับความสามารถทางการแข่งขันของไทย
Krungthai COMPASS
3. ภาษีทรัมป์ป่วนอุตฯ ยานยนต์ฉุดยอดผลิตรถเหลือแค่ 1.4-1.45 ล้านคัน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 24 มิถุนายน 2568)
Krungthai COMPASS เปิดเผยว่า ได้มีการปรับลดคาดการณ์ ปริมาณการผลิตรถยนต์ไทยในปี 2568-2569 ลงเหลือ 1.40-1.45 ล้านคัน จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 1.47-1.53 ล้านคัน อันเป็นผลมาจากสงครามการค้าที่ขยายวงกว้างมากขึ้นหลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งในสมัยสอง และประกาศขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนจากทุกประเทศ 25% (Sectoral Tariff) เพื่อกระตุ้นให้ค่ายรถยนต์ย้ายฐานการผลิตกลับมายังสหรัฐฯ ทั้งนี้ เบื้องต้น คาดว่า เหตุการณ์นี้จะกระทบต่อภาคการผลิตรถยนต์ไทยใน 3 มิติ คือ 1. ไทยอาจได้รับผลกระทบทางตรงจากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ครั้งนี้บ้าง แต่อยู่ในวงจำกัด เนื่องจากรถยนต์ที่ผลิตในไทยส่วนใหญ่ เป็นรุ่นที่แตกต่างจากที่นิยมในตลาดสหรัฐฯ จึงเป็นข้อจำกัดสำคัญต่อการส่งออก 2. ไทยมีความเสี่ยงสูญเสียตลาดส่งออกสำคัญ อาทิ ออสเตรเลีย ให้กับคู่แข่งอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เนื่องจากออสเตรเลียเป็นตลาดสำคัญที่ติดอยู่ใน 3 อันดับแรกของทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ อีกทั้งยังมีรถยนต์หลายรุ่นได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากผู้บริโภคชาวออสเตรเลียในช่วงที่ผ่านมา และ 3. การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงต่อเนื่อง จากภาวะสงครามการค้าที่ขยายวงกว้าง ประกอบกับกำลังการผลิตรถยนต์ NEV ของจีนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2568 จะซ้ำเติมปัญหา Over Supply และกดดันให้สงครามราคาขยายวงกว้างมากขึ้น ขณะที่ ผู้ส่งออกชิ้นส่วนฯ จะได้รับผลกระทบทางตรงจากมาตรการ Sectoral Tariff ต่างกัน โดยกลุ่มชิ้นส่วนฯ ที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ยางรถยนต์ และเครื่องยนต์ เนื่องจากมีสัดส่วนการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ ในระดับสูง และมีอัตรากำไรไม่สูงมาก จึงมีความเปราะบางต่อแรงกดดันด้านราคาสูง และอาจเผชิญความเสี่ยงต่อการขาดทุนมากกว่ากลุ่มอื่น ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนฯ ที่มีความเสี่ยงรองลงมา ได้แก่ อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ตัวถัง & ตกแต่งภายใน ระบบกันสะเทือน และระบบเบรก
อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ ผลกระทบจาก Sectoral Tariff อาจส่งผลต่อเนื่องมายังผู้ส่งออกชิ้นส่วนฯ ไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน หากการขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ ส่งผลให้ค่ายรถยนต์ในญี่ปุ่นต้องลดกำลังการผลิตลง ก็อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังผู้ส่งออก ชิ้นส่วนฯ ไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของฐานการผลิตรถยนต์เพื่อป้อนตลาดสหรัฐฯ
ข่าวต่างประเทศ
4. ดัชนี PMI รวมภาคผลิต-บริการสหรัฐต่ำสุดรอบ 2 เดือนในมิ.ย. (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 24 มิถุนายน 2568)
เอสแอนด์พี โกลบอล เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 52.8 ในเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 53.0 ในเดือนพฤษภาคม โดยดัชนี PMI ถูกกดดันจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจปรับตัวลง แม้การจ้างงานดีดตัวขึ้น ทั้งนี้ ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้การขยายตัวของภาคธุรกิจสหรัฐ โดยได้รับแรงหนุนจากการขยายตัวของภาคการผลิตและภาคบริการ ซึ่งดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น ทรงตัวที่ระดับ 52.0 ในเดือนมิถุนายน โดยดัชนี PMI อยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตอยู่ในภาวะขยายตัว
อย่างไรก็ตาม ส่วนดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น ปรับตัวลงสู่ระดับ 53.1 ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน จากระดับ 53.7 ในเดือนพฤษภาคม โดยดัชนี PMI อยู่สูงกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคบริการอยู่ในภาวะขยายตัว
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)