ข่าวในประเทศ
นายพิชัย นริพทะพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
1. "พิชัย" ย้ำไทย-จีน หุ้นส่วนเศรษฐกิจสำคัญส่งออกสินค้าเกษตร (ที่มา: สำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น., ประจำวันที่ 25 มิถุนายน 2568)
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวปาฐกถาพิเศษในงาน Dinner Talk “50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน” ว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีนเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจที่แน่นแฟ้นมาอย่างยาวนาน ไทยยังคงเดินหน้าส่งเสริมการค้าและการลงทุนระหว่างกัน ควบคู่กับการยกระดับความร่วมมือในประเด็นการค้าสมัยใหม่ ทั้งด้านเศรษฐกิจดิจิทัล เทคโนโลยี และเศรษฐกิจสีเขียว โดยเศรษฐกิจไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเติบโตเฉลี่ยเพียง 1.9% และแม้จะมีความท้าทายจากภาระหนี้ แต่ก็มีสัญญาณฟื้นตัวที่ชัดเจน โดยเฉพาะด้านการส่งออก เห็นได้จากในช่วง 8 เดือน ภายใต้การบริหารของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตร การส่งออกไทยเติบโตถึง 13.3% ขยายตัวต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา รวมถึง 5 เดือนแรกของปี 2568 ที่การส่งออกเติบโตถึง 14.9% โดยเฉพาะเดือนพฤษภาคมขยายตัวถึง 18.4% ซึ่งสะท้อนถึงศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ที่ไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นฐานการผลิตอันดับต้นของโลก ทั้งนี้ การส่งออกที่เติบโตไม่ใช่เพียงเพราะแรงสนับสนุนจากสถานการณ์ภายนอกเท่านั้น แต่เกิดจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 2.58 ล้านล้านบาท ในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความมั่นคงในภาคการผลิตและการส่งออก โดยเฉพาะการลงทุนจากจีนในภาคเทคโนโลยีขั้นสูง
อย่างไรก็ตาม ในด้านความร่วมมือกับจีน ไทยยังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีอย่างต่อเนื่อง โดยกระทรวงพาณิชย์ได้หารือกับรัฐบาลจีนเกี่ยวกับประเด็นด้านการค้าหลายด้าน เช่น การตรวจสอบคุณภาพสินค้าด้อยคุณภาพ และนอมินี การนำเข้ามันสำปะหลังจากไทยถึง 9.20 ล้านตันหัวมันสด (คิดเป็น 3.87 ล้านตันมันเส้น) มูลค่า 23,765 ล้านบาท เพื่อลดผลกระทบ จากราคาตลาดโลก และความร่วมมือในการส่งออกทุเรียนไทย ซึ่งจีนให้ความร่วมมือในการลดอัตราการตรวจสอบลงเหลือ 30% และเปิดโอกาสให้ล้งที่มีคุณภาพสามารถส่งออกได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังหารือถึงแนวทางในการลดความเหลื่อมล้ำทางการค้า โดยขอให้จีนเพิ่มการนำเข้าสินค้าไทยเพื่อลดการขาดดุลทางการค้า ซึ่งปัจจุบันไทยขาดดุลจีนมากกว่า 1.7-1.8 ล้านล้านบาทต่อปี รวมถึงการเร่งใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) ให้ได้มากที่สุด ซึ่งอาเซียนและจีนได้สรุปผลการเจรจายกระดับความตกลง ACFTA หรือ ACFTA 3.0 ได้แล้วเมื่อเดือน ที่ผ่านมา และการใช้ประโยชน์จากความตกลง FTA ฉบับอื่น เช่น กับอียู ซึ่งคาดว่าจะสามารถสรุปการเจรจาได้ภายในปีนี้ ซึ่งจีนยังคงเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของไทยมาอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 12 โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 มูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนอยู่ที่ประมาณ 44,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวขึ้นจากปีก่อนถึง 24.2%
นายพรวิช ศิลาอ่อน
รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์
2. DITP ผนึกกำลังเอกชน ขนสินค้าไทยเจาะกลุ่มผู้บริโภคจีน (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 25 มิถุนายน 2568)
นายพรวิช ศิลาอ่อน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังการเข้าร่วมพิธีเปิดงานแสดงสินค้าจีนเอเชียใต้ ครั้งที่ 9 และงานแสดงสินค้านำเข้า- ส่งออกจีน (คุนหมิง) ครั้งที่ 29 (The 9th China-South Asia Expo and the 29th China Kunming Import and Export Fair) ที่ศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติเตียนฉือ ว่า จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยมาตลอดระยะเวลา 11 ปี ในปี 2567 มูลค่าการค้าไทย-จีน มีมูลค่าสูงถึงกว่า 8 แสนล้านหยวน ซึ่งจีนเป็นตลาดส่งออกสำคัญที่สุดของสินค้าไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตร ยางพารา และผลไม้สด รวมถึงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และการนำเข้าสินค้าทุน และวัตถุดิบจากจีนก็มีบทบาทในการสนับสนุนภาค การผลิตและอุตสาหกรรมไทย ส่วนในด้านการลงทุนจีนลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายของไทยกว่า 810 โครงการ ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมดิจิทัล ดาต้าเซ็นเตอร์และบริการคลาวด์ รวมทั้งมีความร่วมมือทางการค้าอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่แน่นแฟ้นและจะก้าวหน้าต่อไป ทั้งนี้ มีความมั่นใจว่าไทยและจีนจะมีความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าระหว่างกันต่อไปเพราะการค้ายังสามารถเติบโตได้จากความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ทั้งจากความร่วมมือในระดับภูมิภาค เช่น ข้อริเริ่มสายแถบและเส้นทางความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน รวมทั้งการมีกลไกคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย-จีน ตลอดจน ความร่วมมือระดับทวิภาคี MOU รายมณฑลต่างๆ
อย่างไรก็ตาม สำหรับการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า ไชน่า เซาท์ เอเชีย เอ็กซ์โป ครั้งที่ 9 และ ไชน่า คุนหมิง อิมพอร์ท แอนด์ เอ็กซ์พอร์ท แฟร์ ครั้งที่ 29 และการจัดงานแสดง สินค้า Top Thai Brands Kunming 2025 ภายในงาน มั่นใจว่าจะเป็นกลไกสำคัญที่สามารถกระตุ้นให้เกิดการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยและประเทศอื่นๆ ได้สร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ค้นหาพันธมิตรการค้าใหม่และ ขยายช่องทางการจำหน่ายสินค้าและบริการไทยไปยังตลาดที่มีศักยภาพสูง ซึ่งไทยได้เข้าร่วมงานปีนี้เป็นปีที่ 10 และหวังว่าผู้บริโภคจีนจะได้สัมผัสถึงสินค้าแบรนด์ไทยที่ไม่แพ้ชาติใดในโลกได้จากงานนี้
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์
ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
3. อานิสงส์ รถ BEV-PHEV ดันยอด "ผลิต-ขาย" พ.ค.เพิ่มขึ้น (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 25 มิถุนายน 2568)
นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า จำนวนรถยนต์ทั้งหมดที่ผลิตได้ในเดือนพฤษภาคม 2568 มีทั้งสิ้น 139,186 คัน เพิ่มขึ้น 33.51 % จากเดือนเมษายน 2568 และเพิ่มขึ้น 10.32% จากเดือนพฤษภาคม 2567 ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็นเดือนแรกในรอบ 21 เดือน เนื่องจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BEV และ PHEV เพิ่มขึ้น 641.16% และ 130.49% ตามลำดับ ส่งผลให้การผลิตรถยนต์นั่งเพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 63.88% รวมทั้งผลิตรถ PPV เพื่อขายในประเทศเพิ่มขึ้น 138.65% ส่งผลให้ 5 เดือนแรกปีนี้ (มกราคม - พฤษภาคม 2568) มีจำนวนรถยนต์ที่ผลิตได้ทั้งสิ้น 594,492 คัน ลดลง 7.82% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ การผลิตเพื่อส่งออกในเดือนพฤษภาคม 2568 ผลิตได้ 87,297 คัน เท่ากับ 62.72% ของยอดการผลิตทั้งหมด ส่งผลให้ 5 เดือนแรกปีนี้ผลิตเพื่อส่งออกได้ 390,095 คัน เท่ากับ 65.62% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลง 10.20% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศเดือนพฤษภาคม 2567 ผลิตได้ 51,889 คัน เท่ากับ 35.65% ของยอดการผลิตทั้งหมด ส่งผลให้ 5 เดือนแรกปีนี้ผลิตได้ 204,397 คัน เท่ากับ 37.28% ของยอดการผลิตทั้งหมด ลดลง 2.91% จากช่วงเดียวกันปีก่อน สำหรับทางด้านของยอดขายรถยนต์ภายในประเทศของเดือนพฤษภาคม 2568 มีจำนวนทั้งสิ้น 52,229 คัน เพิ่มขึ้น 10.67% จากเดือนเมษายน 2568 แต่เพิ่มขึ้น 4.73% จากเดือนพฤษภาคม 2567 เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 2 ต่อจากเดือนเมษายน 2568 จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า BEV PHEV และรถยนต์นั่งเครื่องยนต์สันดาปภายในเพิ่มขึ้น 118.64%, 234.68% และ 3.19% ตามลำดับจากราคาที่จับต้องได้มากขึ้น ส่งผลให้ 5 เดือนแรกของปีนี้ รถยนต์มียอดขาย 252,615 คัน ลดลง 2.98% จากชาวงเดียวกันปีก่อน
อย่างไรก็ตาม ในเดือนพฤษภาคม 2568 มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่มีจำนวน 13,935 คัน เพิ่มขึ้น 70.65% จากเดือนพฤษภาคม ปี 2567 โดย 5 เดือนแรกของปีนี้มียานยนต์ประเภทไฟฟ้า (BEV) จดทะเบียนใหม่สะสมมีจำนวน 53,955 คัน เพิ่มขึ้น 22.85% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนประเภท HEV 60,793 คัน เพิ่มขึ้น 2.49% ประเภท PHEV 9,822 คัน เพิ่มขึ้น 142.34% ทั้งนี้ ใน 5 เดือนแรกของปีนี้มีผลิต EV ได้สูงสุดเพราะค่ายรถยนต์เร่งผลิตชดเชยตามมาตรการที่ EV3.0 และ 3.5 ซึ่งปีนี้คาดว่าจะเห็น EV ผลิตถึง 50,000 คัน
ข่าวต่างประเทศ
4. สหรัฐขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงกว่าคาดใน Q1/2568 (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 25 มิถุนายน 2568)
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า สหรัฐขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 1/2568 พุ่งขึ้น 44.3% หรือ 1.382 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 4.502 แสนล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.433 แสนล้านดอลลาร์ จากระดับ 3.120 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 4/2567 นอกจากนี้ ตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 1/2568 เทียบเท่ากับ 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของสหรัฐ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3/2549
อย่างไรก็ตาม การพุ่งขึ้นของตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 1/2568 มีสาเหตุจากการที่ภาคธุรกิจพากันเร่งนำเข้าสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้การนำเข้าสินค้า พุ่งสู่ระดับ 1.0 ล้านล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1/2568 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนการส่งออกพุ่งสู่ระดับ 5.390 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 3/2565
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)