ข่าวประจำวันที่ 26 มิถุนายน 2568

ข่าวในประเทศ

A person holding a microphone

AI-generated content may be incorrect.

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

 

1. 1 ต.ค.คุมเข้มมาตรฐานตู้กดน้ำโรงเรียน กดแล้วไฟไม่ดูด (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 25 มิถุนายน 2568)

 

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งดำเนินการกำหนดให้ “ตู้น้ำดื่ม” ในโรงเรียนเป็นสินค้าควบคุม เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่นักเรียนในโรงเรียน โดยในวันที่ 1 ตุลาคม 2568 มาตรฐานดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย ต้องผลิต นำเข้า และจำหน่าย เฉพาะสินค้าที่มีมาตรฐาน มอก. เท่านั้น มิฉะนั้นจะมีโทษตามกฎหมาย ซึ่งหลังจากที่ สมอ. ประกาศเป็นสินค้าควบคุมแล้ว จะช่วยให้มั่นใจได้ว่า ตู้น้ำดื่มทุกตู้ที่ใช้ในโรงเรียนหรือในที่สาธารณะต่างๆ จะมีความปลอดภัยในการใช้งาน นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ สมอ. เตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการ “ตู้น้ำดื่ม” ก่อนที่มาตรฐานจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม นี้ เพื่อยกระดับการคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ประชาชนและปกป้องผู้ประกอบการภายในประเทศ ทั้งนี้ ทางด้านนายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับมาตรฐาน “ตู้น้ำดื่ม” เดิมเป็นมาตรฐานทั่วไป ต่อมาได้มีการแก้ไขปรับปรุงให้เป็นมาตรฐานบังคับ “ตู้น้ำร้อนน้ำเย็นบริโภคและตู้น้ำเย็นบริโภค เฉพาะด้านความปลอดภัย มอก. 2461-2565” โดยอ้างอิงตามมาตรฐาน IEC ซึ่งเป็นมาตรฐานระหว่างประเทศที่สากลให้การยอมรับ โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย ซึ่งมาตรฐานนี้จะครอบคลุม ตู้น้ำดื่มที่มีแรงดันไฟฟ้าไม่เกิน 250 โวลต์ แต่ไม่ครอบคลุมตู้น้ำดื่มที่ใช้กับยานยนต์ เรือ หรือเครื่องบิน และมีข้อกำหนดที่สำคัญด้านความปลอดภัย เช่น มีการป้องกันผู้ใช้งานสัมผัสกับส่วนที่มีไฟฟ้า มีระบบการป้องกันความชื้น เช่น หยดน้ำ หรือละอองฝน มีการทดสอบไฟรั่ว การติดตั้ง สายดิน การไม่แผ่รังสีที่เป็นอันตราย รวมทั้งบนฉลากต้องระบุชนิด การใช้งาน ประเภท แรงดันไฟฟ้า กำลังไฟฟ้า และระบุ แบบ รุ่น ที่ชัดเจน และคำเตือนเพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา สมอ. ได้จัดการสัมมนาเพื่อเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ ในการยื่นขอใบอนุญาตให้แก่ผู้ทำ ผู้นำเข้า และผู้จำหน่ายสินค้าที่จะประกาศเป็นสินค้าควบคุม รวม 4 รายการ ได้แก่ 1) ตู้น้ำร้อนน้ำเย็นบริโภคและตู้น้ำเย็นบริโภค เฉพาะด้านความปลอดภัย 2) เครื่องทอดน้ำมันท่วมปริมาณน้ำมันสูงสุด ไม่เกิน 5 ลิตร และกระทะทอด 3) เครื่องใช้ไฟฟ้าสำหรับการดูแลผม ขน หรือผิว ที่จะมีผลบังคับใช้ 1 ตุลาคม 2568 และ 4) เตาอบไมโครเวฟและเตาอบไมโครเวฟร่วมสำหรับใช้ในที่อยู่อาศัย มีผลบังคับใช้ 30 ธันวาคม 2568 โดยมีผู้เข้าร่วมการสัมมนา จำนวนกว่า 200 ราย ณ ห้องประชุม 200 สมอ.

 

A person speaking into a microphone

AI-generated content may be incorrect.

ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์

ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร

 

2. สถาบันอาหารเร่งตอบโจทย์เทรนด์โลก ดึงจุดเด่นติดปีกซอฟต์พาวเวอร์โชว์ตปท. (ที่มา: สยามรัฐ, ประจำวันที่ 26 มิถุนายน 2568)

ดร.ศุภวรรณ ตีระรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยถึงภาพรวมการส่งออกพวกกลุ่มสินค้าที่คาดว่าการส่งออกมีแนวโน้มโดดเด่นในปี 2568 ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง ซอสและเครื่องปรุงรส อาหารพร้อมรับประทานและผลิตภัณฑ์มะพร้าว โดยการส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงมีแรงขับเคลื่อนจากแนวโน้มการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งในตลาดหลักอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปที่ต้องการผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ สินค้าพรีเมียมและฟังก์ชันนัลเพิ่มมากขึ้น ตลาดที่มีแนวโน้มดี เช่น จีน อินเดีย ที่จะเติบโตได้ในระยะยาว ขณะที่การส่งออกซอสและเครื่องปรุงรส มีแรงขับเคลื่อนจากความนิยมในอาหารและเครื่องปรุงรสไทยที่เพิ่มขึ้นในต่างประเทศ การขยายตลาดในสหรัฐฯ และการพัฒนาซอสรสชาติที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ เช่น ซอสเผ็ดการส่งออกอาหารพร้อมรับประทาน มีแรงขับเคลื่อนจากผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจกับความสะดวกรวดเร็วในการบริโภคอาหารในยุคที่เศรษฐกิจผันผวนกอปรกับมีเทคโนโลยีนวัตกรรมช่วยให้คงรสชาติและยืดอายุอาหารได้ดียิ่งขึ้น การส่งออกผลิตภัณฑ์มะพร้าว มีแรงขับเคลื่อนจากเทรนด์สุขภาพ และการขยายตัวของตลาดนมจากพืช (Plant-based milk) แต่ทั้งนี้ สถานการณ์อุตสาหกรรมอาหารไทย ยังคงมีความเสี่ยงสูงจากปัจจัยแวดล้อมภายนอก โดยเฉพาะนโยบายจัดเก็บภาษีศุลกากรแบบตอบโต้ (reciprocal tariffs) ของประธานาธิบดีของสหรัฐฯที่จะดำเนินการกับทุกประเทศที่เห็นว่าได้เปรียบทางการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งอุตสาหกรรมอาหารไทยก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าว เนื่องจากอาหารเป็นหนึ่งในสาขาการผลิตที่ทำให้ประเทศไทยเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระดับสูง โดยล่าสุดในปี 2567 ไทยส่งออกสินค้าอาหารไปสหรัฐฯ มูลค่า 172,380 ล้านบาท แต่นำเข้ามูลค่า 44,150 ล้านบาท ไทยเกินดุลการค้าอาหารกับสหรัฐฯ มูลค่า 128,230 ล้านบาท สัดส่วนประมาณ 10% ของยอดเกินดุลการค้ารวมของไทย รองจากอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์

อย่างไรก็ตาม ในครึ่งปีหลัง 2568 ตามทิศทางดอกเบี้ยขาลงของสหรัฐฯ ประกอบกับผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพในการพัฒนาสินค้าที่มีความหลากหลาย ราคาเหมาะสม มีคุณภาพและความปลอดภัย สามารถตอบสนองความต้องการของประเทศคู่ค้าทั่วโลก เป็นปัจจัยหลักที่จะผลักดันการส่งออกอาหารไทยในปี 2568 ให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นแม้ส่งออกภาพรวมในไตรมาสแรกลดลง 12% ก็ตาม ซึ่งบทบาทของสถาบันอาหารในการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ด้านอาหารจึงต้องสร้าง เพื่อผลักดันให้เป็นโมเดลนำร่อง ทำอาหารอนาคต เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องความมั่นคงทางอาหาร การขาดแคลนทางด้านอาหารซึ่งกลุ่มที่เป็นอาหารอนาคต ทั้งในเรื่องของการผลิต เรื่องของการทำมาตรฐานต่างๆ ที่สร้างความเชื่อมั่นรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป พัฒนาสินค้าที่มีความหลากหลายสามารถตอบสนองความต้องการของประเทศคู่ค้าทั่วโลก

 

A person in a suit and tie

AI-generated content may be incorrect.

นายคงฤทธิ์ จันทริก

ผู้อำนวยการสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.)

 

3. สรท.แนะผู้ผลิต-ส่งออก 6 แนวทาง รับมือปิดช่องแคบฮอร์มุซ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 26 มิถุนายน 2568)

 นายคงฤทธิ์ จันทริก ผู้อำนวยการสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) เปิดเผยว่า กำลังเฝ้าติดตามว่าประเทศอิหร่านจะปิดช่องแคบฮอร์มุซหรือไม่ เพราะช่องแคบฮอร์มุซ ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเป็นเส้นเลือดใหญ่ของเส้นทางพลังงานของโลก จากแหล่งน้ำมันดิบสำคัญในภูมิภาคซึ่งอยู่บริเวณโดยรอบอ่าวเปอร์เซียไปสู่ลูกค้าในภูมิภาคอื่นทั่วโลก แม้ไทยจะไม่ได้นำเข้าน้ำมันดิบจากอิหร่าน แต่ก็พึ่งพาการนำเข้าน้ำมันดิบจากตะวันออกกลางและขนส่งผ่านช่องแคบฮอร์มุซเป็นหลัก ดังนั้น หากมีการปิดช่องแคบฮอร์มุซ จะส่งผลให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน และเนื่องจากเกือบทุกประเทศทั่วโลกที่ต้องนำเข้าน้ำมันจะได้รับผลกระทบพร้อมกัน กลายเป็นแรงกดดันในการจัดหาซัพพลายพลังงานโลก ทำให้ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกจะปรับตัวสูงขึ้น และหากไม่สามารถขนส่งมายังประเทศไทยได้ อาจเกิดภาวะที่ขาดแคลนน้ำมันดิบในภาคการผลิตเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงภาคขนส่งของไทยส่วนใหญ่ ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงจากน้ำมันเป็นพลังงานเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีความไม่แน่นอนว่าอิหร่านจะตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุซเมื่อใด ดังนั้น เพื่อป้องกันความเสี่ยงให้น้อยที่สุด สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอแนะแนวทางการปรับตัวของผู้ผลิต/ผู้ส่งออกต่อสถานการณ์ปัจจุบัน 6 แนวทาง ดังนี้ 1. เร่งป้องกันความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางพลังงาน เตรียมพิจารณาปรับแหล่งจัดซื้ออื่นทดแทน / เพิ่ม stock น้ำมันดิบให้มากขึ้น 2. สนับสนุนใช้พลังงานหมุนเวียนทั้งในระดับครัวเรือน และในโรงงานอุตสาหกรรม เพื่อลดปริมาณการใช้พลังงานจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ 3. เพิ่มสัดส่วนแหล่งนำเข้าปุ๋ยจากแหล่งอื่นทดแทน อาทิ รัสเซีย จีน มาเลเซีย ลาว บรูไน เป็นต้น 4. บริหารความเสี่ยงด้านการขนส่งสินค้าทางทะเล โดยผู้ส่งออกต้องวางแผนร่วมกับผู้ซื้อปลายทาง ถึงรูปแบบการขนส่งทางเลือกอื่น 5. พิจารณากรณีต้องส่งกลับสินค้าว่าต้องดำเนินการอย่างไร พิธีการศุลกากรขาเข้าอย่างไร มีค่าใช้จ่ายเท่าใด เป็นต้น และ 6. ผู้ส่งออกต้องติดตามข้อมูล Customer Advisories บนเว็ปไซต์ของสายเรือ หรือสอบถามสายเรือที่ใช้บริการให้ชัดเจน ถึงเส้นทางเดินเรือ ระยะเวลา และค่าใช้จ่ายที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

 

ข่าวต่างประเทศ

A flag with a coat of arms on it

AI-generated content may be incorrect.

 

4. สเปนเคาะ GDP Q1/68 โต 0.6% ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 26 มิถุนายน 2568)

สถาบันสถิติแห่งชาติของสเปน (INE) เปิดเผยว่า ยืนยันผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาสแรกของปี 2568 ขยายตัว 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเติบโต 2.8% เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการยืนยันตัวเลขเบื้องต้นที่ประกาศในเดือนเมษายน 2568 แต่สะท้อนถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจท่ามกลางความกังวลต่อความวุ่นวายทางภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าโลก โดยการเติบโตดังกล่าวถือว่าชะลอตัวลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งเศรษฐกิจขยายตัวได้ 0.7% ขณะที่การเติบโตรายปี ก็ชะลอลงจาก 3.3% ซึ่งเป็นตัวเลขปรับปรุงใหม่ของไตรมาสก่อนหน้า ทั้งนี้ การชะลอตัวนี้สอดคล้องกับมุมมองของธนาคารกลางสเปน ซึ่งเมื่อเดือนมิถุนายน 2568 ได้ประกาศปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปี 2568 ลงเหลือ 2.4% จากเดิมที่คาดไว้ 2.7% โดยตัวเลขคาดการณ์ดังกล่าวยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มยูโรโซนที่คาดว่าจะเติบโตเพียง 0.9% อย่างมีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม ทางด้านโฆเซ หลุยส์ เอสกรีบา ผู้ว่าการธนาคารกลางสเปน ชี้ว่าการปรับลดคาดการณ์เป็น  ผลมาจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ จีน และยุโรป โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับการขยายตัวที่แข็งแกร่งถึง 3.2% ในปีก่อนหน้า               

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)