ข่าวในประเทศ
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. ก.อุตเริ่มโอน 3,800 ล. ช่วยชาวไร่ตัดอ้อยสด (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 1 สิงหาคม 2568)
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2568 มีมติเห็นชอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น PM2.5 ฤดูการผลิตปี 2567/68 โดยใช้แหล่งเงินทุนจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายไปก่อนนั้น เวลานี้ พี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสด 100% จะทยอยได้รับเงินชดเชยในอัตรา 69 บาทต่อตันอ้อย โดยกระทรวงอุตสาหกรรมจะจ่ายเงินให้กับเกษตรกรผ่านแอพพลิเคชั่น ทางรัฐของรัฐบาล โดยวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 เป็นวันแรก มีเกษตรกรชาวไร่อ้อยได้รับเงิน 77,044 ราย ปริมาณอ้อยสด คุณภาพดี 55 ล้านตัน เป็นเงิน 3,800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60.94% ของเกษตรกรที่มีสิทธิได้รับเงิน จากชาวไร่อ้อย ที่มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือ 126,418 ราย ปริมาณอ้อยสดคุณภาพดี 67.95 ล้านตัน คิดเป็นเงิน 4,688 ล้านบาท ทั้งนี้ ขอบคุณเกษตรกรชาวไร่อ้อยและโรงงานน้ำตาลที่ร่วมมือกันลดการเผาอ้อยได้ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 14.86% สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยการจ่ายเงินให้ชาวไร่ตัดอ้อยสด ไม่ใช่แค่นโยบาย แต่เป็นข้อตกลงที่เราทำร่วมกันตั้งแต่ก่อนฤดูเก็บเกี่ยวปีที่ผ่านมา และเมื่อเกษตรกรทำตามสัญญา ลดการเผาอ้อยได้จริง รัฐบาลก็ต้องทำตามคำมั่นเช่นกัน โดยมีการจ่ายเงินสนับสนุนให้กับเกษตรกรที่ตัดอ้อยสดในอัตรา 69 บาทต่อตันอ้อย ซึ่งจะทยอยจ่ายถึงมือเกษตรกรทั่วประเทศในช่วง 1-2 สัปดาห์
อย่างไรก็ตาม ขอย้ำว่ามาตรการนี้ไม่ได้ใช้เงินภาษีประชาชน เพราะรัฐบาลกำลังผลักดันให้มีการนำใบอ้อยไปใช้ในการผลิตไฟฟ้า และหากขายไฟฟ้าได้ในราคาที่เหมาะสม รายได้บางส่วนก็จะหมุนกลับเข้ามาสู่กองทุนเพื่อสนับสนุนเกษตรกรในฤดูกาลถัดไป ทำให้กลไกสนับสนุนนี้เป็นระบบที่ยั่งยืน ไม่ต้องขอเงินงบประมาณใหม่ทุกปี ทั้งนี้ สำหรับความกังวลทั้งเรื่องภาษีทรัมป์ และสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ยืนยันว่าทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง และทุกคนทำงานกันอย่างเต็มที่ เศรษฐกิจก็เป็นอาวุธสำคัญของประเทศ ทุกฝ่าย ต่างช่วยกันพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตและความมั่นคงของประเทศจะตามมา
น.ส.ณัฏฐิญา เนตยสุภา
อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม)
2. ดีพร้อมอัดสินเชื่อช่วยเอสเอ็มอี ดอกเบี้ยปีแรก 3% วงเงิน 20 ล้าน (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 1 สิงหาคม 2568)
น.ส.ณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ภัยพิบัติและเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบในหลายพื้นที่ ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารเงินทุนหมุนเวียนเพื่อการส่งเสริมอาชีพอุตสาหกรรมในครอบครัวและหัตถกรรมไทย จึงกำหนดมาตรการเพิ่มสภาพคล่องผ่านเงินทุนหมุนเวียนฯ วงเงิน 20 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นหนึ่งในมาตรการสำหรับฟื้นฟู และเยียวยาสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ คุณสมบัติของผู้ประกอบการที่ประสงค์ขอรับความช่วยเหลือต้องอยู่ในพื้นที่ที่ประกาศเป็นพื้นที่ประสบอุทกภัย หรือเป็นผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ ในพื้นที่ชายแดน และเป็นลูกหนี้เงินทุนหมุนเวียนฯ ชั้นดีรายเดิม หรือมีประวัติการค้างชำระไม่เกิน 1 ปี ทั้งนี้ สำหรับมาตรการที่ได้รับสิทธิ 3 เด้ง คือ 1. พักชำระหนี้ไม่เกิน 4 เดือน 2. ลดค่างวดผ่อนชำระรายเดือนตามสัญญาเดิม 50% เป็นระยะเวลา 4 เดือน และ 3. ขอขยายระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้ได้ไม่เกิน 2 ปี โดยรวมแล้วต้องไม่เกินระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเดิม ซึ่งยังมีสิทธิขอกู้เงินเพิ่มเติมในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท ต่อราย/กิจการ พร้อมกันนี้ ดีพร้อมได้จัดทีมผู้เชี่ยวชาญ ลงพื้นที่ช่วยประเมินสภาพปัญหา พร้อมการวางแผนฟ้นฟู ผ่านศูนย์บริการธุรกิจอุตสาหกรรมดีพร้อม (DIPROM Business Service Center : DIPROM BSC)
อย่างไรก็ตาม หากเป็นผู้ประกอบการในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และต้องการเสริมสภาพคล่อง สามารถยื่นขอรับบริการเงินทุนหมุนเวียนฯ ในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท ต่อราย/กิจการผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 5 ปี ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษแบบขั้นบันได เริ่มต้นปีแรกที่ 3% ต่อปี พร้อมสิทธิการพักชำระหนี้ไม่เกิน 4 เดือน
นางสาวณัฐิยา สุจินดา
รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.)
3. พัฒนาอุตฯ โคเนื้อ-โคนมไทย เพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระยะยาว (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 1 สิงหาคม 2568)
นางสาวณัฐิยา สุจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานสัมมนา "โครงการศึกษาเพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายการสร้างเสถียรภาพและความเข้มแข็งทางการค้าสินค้าปศุสัตว์ (โคเนื้อและโคนม)" ว่าตลอดทศวรรษที่ผ่านมา การค้าสินค้าปศุสัตว์ของโลกและไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ในปี 2567 ความต้องการบริโภคเนื้อโคของโลก อยู่ที่ 59.55 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ที่มีความต้องการ 56.05 ล้านตัน แต่ไทยยังเผชิญกับความท้าทายโดยเฉพาะอุตสาหกรรมโคเนื้อที่ประสบปัญหาด้านราคา ความรู้ความเข้าใจในการบริหารจัดการฟาร์ม โรคระบาดเมืองร้อน ต้นทุนการผลิตสูง การแข่งขันกับเนื้อโคนำเข้า การปรับการผลิตเป็นระบบอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบขณะที่อุตสาหกรรมโคนมก็ประสบปัญหาต้นทุนการผลิตสูง และฟาร์มรายย่อยต้องปรับตัวให้แข่งขันได้ในระยะยาว ส่งผลให้ทั้งสองอุตสาหกรรมควรเพิ่มศักยภาพในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดโลก ซึ่งงานสัมมนาฯ ครั้งนี้ภาคส่วนต่างๆ จะได้รับทราบผลการศึกษาและข้อเสนอเชิงนโยบายฯ สำคัญสำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมโคเนื้อและโคนมไทยโดยแบ่งเป็น 4 ด้าน ได้แก่ (1) การสร้างเสถียรภาพและความเข้มแข็งด้านการผลิต มุ่งเน้นยกระดับประสิทธิภาพการเลี้ยงและลดต้นทุน (2) การสร้างเสถียรภาพและความเข้มแข็งด้านราคา ส่งเสริมกลไกราคาที่เป็นธรรมและลดความผันผวน (3) การสร้างเสถียรภาพและความเข้มแข็งด้านเทคโนโลยี ผลักดันการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทาน และ (4) การสร้างเสถียรภาพและความเข้มแข็งทางด้านการตลาด โดยขยายตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน นอกจากนี้ ยังมีแนวทางสนับสนุนอุตสาหกรรมต่อเนื่องเพื่อต่อยอดสู่ความยั่งยืนของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ในระยะยาว
อย่างไรก็ตาม สำหรับครึ่งแรกของปี 2568 (มกราคม - มิถุนายน) ไทยนำเข้าเนื้อโคสด แช่เย็น และแช่แข็ง เป็นปริมาณ 16,496.6 ตัน คิดเป็นมูลค่า 5,200.6 ล้านบาท มูลค่าการนำเข้าขยายตัว 26.6% แหล่งนำเข้าสำคัญ ได้แก่ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และญี่ปุ่น ส่วนสินค้านมและผลิตภัณฑ์ (นม ครีม โยเกิร์ต บัตเตอร์มิลค์ เวย์ เนย ชีส และเคิร์ด) ไทยเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 ของอาเซียน ครึ่งแรกของปี 2568 ไทยส่งออกเป็นปริมาณ 138,799.1 ตัน คิดเป็นมูลค่า 6,451.0 ล้านบาท ตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ ขณะที่ไทยนำเข้าเป็นปริมาณ 165,408.9 ตัน คิดเป็นมูลค่า 18,291.9 ล้านบาท มีแหล่งนำเข้าสำคัญ ได้แก่ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และสหรัฐฯ
ข่าวต่างประเทศ
4. สหรัฐเผยดัชนี PCE +2.6% เดือนมิ.ย. สูงกว่าคาดการณ์ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 1 สิงหาคม 2568)
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือนมิถุนายน 2568 เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.5% จากระดับ 2.4% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.3% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.2% ในเดือนพฤษภาคม ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนมิถุนายน เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.7% จากระดับ 2.8% ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.3% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.2% ในเดือนพฤษภาคม
อย่างไรก็ตาม ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)