ข่าวในประเทศ
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล
ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
1. ส.อ.ท. คลายกังวลภาษีทรัมป์ มองบาทแข็งระยะสั้น มั่นใจส่งออกยังแข่งได้ (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, ประจำวันที่ 5 สิงหาคม 2568)
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า กรณีที่ค่าเงินบาทแข็งค่าสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดเดาว่า เมื่อสหรัฐฯ ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้ากับประเทศไทยแล้ว น่าจะอ่อนค่าลงนั้น ซึ่งหลังจากประกาศภาษี ทุกคนก็โล่งอก เพราะมองว่าตัวเลขที่ออกมาไม่ได้แย่เหมือนที่กังวลแต่แรก โดยเฉพาะเรื่องที่ห่วงว่าเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งในภูมิภาคแล้วเราจะสู้เขาไม่ได้ ทั้งนี้ เมื่อผลของการเจรจาและตัวเลขภาษีที่ไทยโดนเก็บอยู่ที่ 19% ออกมา ทางภาคเอกชน ทั้งสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และ ส.อ.ท. ต่างก็พูดตรงกันว่าไทยสามารถแข่งขันได้ นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ค่าเงินบาทของเราไม่ลดลง แต่กลับแข็งค่าขึ้น ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนึ่งในช่วงสั้นๆ ที่สร้างความเชื่อมั่นและสะท้อนให้เห็นว่าตัวเลขออกมาดี เพราะอัตราภาษีของเราอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาค (ไม่นับสิงคโปร์) โดยประเทศไทยอยู่ที่ 19% เท่ากับอินโดนีเซีย ซึ่งต่ำกว่าเวียดนามที่ 20% ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกที่สะท้อนความเชื่อมั่นในภาคเศรษฐกิจของไทยเพิ่มขึ้น ไม่ได้แย่เหมือนที่กังวลในตอนแรก โดยความกังวลหลักๆ มี 2 เรื่องคือ 1. จะเจรจาได้ทันวันที่ 1 สิงหาคม 2568 หรือไม่ และ 2. อัตราภาษีของเราจะสูงกว่าประเทศคู่แข่งในภูมิภาคหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้ง 2 เรื่องออกมาทันเวลาและอยู่ในอัตราที่น่าพอใจและสามารถแข่งขันได้ ภาคเอกชนจึงออกมาขานรับด้วยความพอใจ เชื่อว่าจะทำให้การส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ยังคงแข่งขันได้เมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกัน และที่สำคัญคือเรื่องการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่ตอนแรกกังวลว่าหากอัตราภาษีของไทยสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน อาจมีการย้ายฐานการผลิตในอนาคตได้ แต่เมื่อตอนนี้ FDI ออกมานิ่งขึ้น ก็ทำให้มั่นใจมากขึ้น ซึ่งเป็นภาพสะท้อนในระยะสั้น ดังนั้นจึงต้องดูผลในระยะยาวต่อไปตามกลไกเศรษฐกิจ
นายเริงฤทธิ์ กุศลกรรมบถ
รองผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
2. 'กนอ.' จ่อคลอดแพ็กเกจ ดึงดูดการลงทุนคาดปลายปีตัวเลขพุ่ง (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 5 สิงหาคม 2568)
นายเริงฤทธิ์ กุศลกรรมบถ รองผู้ว่า การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้ประกาศตัวเลขอัตราภาษีนำเข้าจากไทยที่ 19% แล้วนั้น นักลงทุนมองว่าเมื่อตัวเลขดังกล่าวไม่ได้มีความแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเดียวกัน ทำให้ไทยยังคงความสามารถในการแข่งขันได้ ส่วนรายละเอียดของมาตรการช่วยเหลือและเงินสนับสนุนผู้ประกอบการนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอ นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีการสรุปอย่างชัดเจนในเร็วๆ นี้ โดยที่ผ่านมามาตรการส่งเสริมการลงทุนของไทยถือว่าสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านได้ และบางมาตรการก็ดีกว่าบางประเทศด้วย ขณะที่ตัวเลขภาษีที่เวียดนามโดนสหรัฐอเมริกาเก็บในอัตราที่ 20% ซึ่งสูงกว่าไทย ตรงนี้ถือเป็นอีกข้อได้เปรียบของไทย แต่โดยรวมแล้วการที่อัตราภาษีของไทยออกมาใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาคที่มีโครงสร้างเหมือนกัน ทำให้ไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบเสียเปรียบกัน แต่โจทย์สำคัญคือ จะทำอย่างไรให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น เพราะต้องยอมรับว่าจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ยังคงมีผลกระทบต่อการเติบโตของ GDP ประเทศ ทั้งนี้ จากที่มีหลายฝ่ายกังวลว่าภายใน 4-5 ปีนี้ หากไทยไม่ทำอะไรเลย เวียดนามจะแซงหน้าไทยนั้น ในปัจจุบันทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่างเร่งออกมาตรการต่างๆ เพื่อให้ไทยยังคงเป็นประเทศที่น่าลงทุนที่สุดในภูมิภาค โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้มอบนโยบายในการทำงานให้กับหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึง กนอ.ว่า จะต้องทำให้การดำเนินธุรกิจในไทย สะดวก สะอาด และโปร่งใส เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมไทยในระยะยาว นอกจากนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ยังตั้งเป้าให้ภาคอุตสาหกรรมขับเคลื่อน GDP ให้ได้ 1% ซึ่งถือเป็นอีกเรื่องที่ต้องเร่งผลักดันมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยสามารถแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลาได้
อย่างไรก็ตาม กนอ. ภายใต้กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และกลุ่มภาคการเงิน เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการ ทั้งในด้านกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ และกฎหมาย รวมถึงส่งเสริมด้านการเงิน โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎระเบียบให้รวดเร็วยิ่งขึ้น และกำกับดูแลโรงงานที่เข้ามาตั้งในไทยให้ดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ทั้งนี้เชื่อว่ามาตรการที่ผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ช่วงปลายปี 2568 นี้ จะสามารถดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น และจากภาษีของสหรัฐอเมริกาที่ประกาศอย่างเป็นทางการ รวมถึงมาตรการที่สนับสนุนการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐ จะทำให้ภายใน 2-3 เดือนนี้ตัวเลขการลงทุนจะปรับตัวขึ้นอย่างแน่นอน
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
3. บีโอไอแก้กฎหมายเพิ่มขีดแข่งขันไทย (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 5 สิงหาคม 2568)
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งมีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบการแก้ไขพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย พ.ศ.2560 ที่อยู่ภายใต้บีโอไอ เพื่อเพิ่มเครื่องมือสิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ "เครดิตภาษี" ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆ ในการดึงดูดนักลงทุนเป้าหมาย ภายใต้กติกาภาษีใหม่ของโลก (Global Minimum Tax) อีกทั้งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากรทักษะสูง โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) และรัฐสภาเพื่อพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อไป ทั้งนี้ ปัจจุบัน องค์การเพื่อ ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ได้กำหนดกลไกจัดเก็บภาษีขั้นต่ำจากบริษัทข้ามชาติที่มีรายได้ของทั้งเครือ ตั้งแต่ 750 ล้านยูโรต่อปีขึ้นไป (ประมาณ 28,000 ล้านบาท) ซึ่งเดิมอาจได้รับสิทธิพิเศษจากประเทศต่างๆ ทำให้อัตราภาษีที่แท้จริง (Effective Tax Rate) ต่ำกว่า 15% โดย OECD กำหนดให้ประเทศที่รองรับการลงทุนหรือประเทศที่บริษัทแม่ตั้งอยู่ สามารถจัดเก็บ "ภาษีส่วนเพิ่ม" เพื่อให้ครบตามเกณฑ์ภาษีขั้นต่ำ 15% ได้ ทำให้ประเทศต่างๆ ต้องทยอยออกกฎหมายเพื่อเก็บภาษีส่วนเพิ่มกับบริษัทข้ามชาติที่มีสาขาอยู่ในประเทศของตน รวมถึงประเทศไทยที่กระทรวงการคลังได้ออก พ.ร.ก.ภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ.2567 ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 โดยปัจจุบันมีบริษัทข้ามชาติที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนและเข้าข่ายตามกฎหมายดังกล่าวประมาณ 1,500 ราย รวมทั้งบริษัทใหญ่ของไทยประมาณ 100 ราย ในขณะเดียวกัน ประเทศต่างๆ ก็เริ่มทยอยออกมาตรการบรรเทาผลกระทบของ Global Minimum Tax ในรูปแบบที่แตกต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย และจูงใจให้เกิดการลงทุนอย่างต่อเนื่อง บีโอไอจึงเสนอปรับแก้กฎหมายการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันที่อยู่ภายใต้บีโอไอ เพื่อเพิ่มสิทธิประโยชน์ใหม่ในรูปแบบเครดิตภาษี (Qualified Refundable Tax Credit: QRTC) ซึ่งเป็นเครื่องมือส่งเสริมการลงทุนตามแนวทางที่ OECD ยอมรับ เพื่อให้ประเทศไทยมีเครื่องมือดึงดูดการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ สามารถรักษาฐานการผลิตในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ควบคู่กับการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง
ข่าวต่างประเทศ
4. เงินเฟ้อเกาหลีใต้เพิ่มขึ้น 2.1% ในเดือนก.ค. ยังสูงกว่าเป้าหมายธนาคารกลาง (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 5 สิงหาคม 2568)
สำนักงานสถิติแห่งชาติเกาหลีใต้ เปิดเผยรายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ปรับตัวขึ้น 2.1% ในเดือนกรกฎาคม 2568 เมื่อเทียบเป็นรายปี ทั้งนี้ นับเป็นเดือนที่สองติดต่อกันที่ดัชนี CPI ปรับตัวขึ้นกว่า 2% ซึ่งส่วนใหญ่ได้แรงหนุนจากต้นทุนสินค้าอุตสาหกรรมและการบริการที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ตัวเลขเงินเฟ้อยังคงอยู่สูงกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2% ของธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) ติดต่อกันเป็นเดือนที่สี่ สำหรับปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นในเดือนกรกฎาคม มาจากสกุลเงินวอนที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ราคานำเข้าสินค้าอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของราคาการบริการก็ส่งผลให้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตาม ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมราคาในหมวดอาหารและพลังงานที่มีความผันผวน ปรับตัวขึ้น 2% ในเดือนกรกฎาคม 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นในระดับเดียวกับเดือนมิถุนายน
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)