ข่าวประจำวันที่ 6 สิงหาคม 2568

ข่าวในประเทศ

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ

ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)

1. กนอ.ผุดนิคมฯ บางปะกง (ที่มา: ไทยโพสต์, ประจำวันที่ 6 สิงหาคม 2568)

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับบริษัท บางปะกง อินดัสเทรียล เอสเตท จำกัด เดินหน้าพัฒนานิคมอุตสาหกรรมบางปะกง สู่โมเดลนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 79 ของ กนอ. โดยจะพัฒนาบนพื้นที่ประมาณ 962-1-78.5 ไร่ ด้วยงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกว่า 6,200 ล้านบาท เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โลหะและวัสดุ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ตอบโจทย์นโยบายรัฐบาลขับเคลื่อน EEC และการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมไทย

อย่างไรก็ตาม โครงการนี้พัฒนาในรูปแบบนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ หรือ Eco-Industrial Estate ที่เน้นการบริหารจัดการพลังงาน-สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รองรับด้วยระบบสาธารณูปโภคครบวงจร พร้อมด้วยโครงข่ายไฟฟ้ากำลังสูงและโทรคมนาคมความเร็วสูง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของโรงงานภายในนิคมฯ และความสมดุลกับชุมชนโดยรอบ สร้างอาชีพให้ประชาชนในพื้นที่กว่า 2,100 อัตรา และคาดหวังจะดึงเม็ดเงินลงทุนกว่า 25,000 ล้านบาท เพิ่มศักยภาพภาคอุตสาหกรรมและยกระดับ GDP ตามเป้าหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม

 

A person sitting in a chair holding a tablet

AI-generated content may be incorrect.

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์

ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์

 

2. พาณิชย์เผย 4 ปัจจัยลบ ฉุดดัชนีราคาผู้ผลิตร่วงทุกกลุ่มสินค้า (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 6 สิงหาคม 2568)

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ภาพรวมดัชนีราคาผู้ผลิตของไทย เดือนกรกฎาคม 2568 เท่ากับ 108.5 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2567 หดตัวจากราคาสินค้าในทุกหมวด โดยราคาสินค้าหมวดผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร จากอุปทานส่วนเกินในประเทศ ประกอบกับการแข่งขันที่สูงในตลาดส่งออก หมวดผลิตภัณฑ์จากเหมือง และผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมมีทิศทางเคลื่อนไหวตามอุปสงค์ของตลาดโลกที่ชะลอตัว ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลง ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ซึ่งการที่ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนกรกฎาคม 2568 ปรับตัวลดลงในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์เป็นผลจากปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1. การแข่งขันที่สูงขึ้นในตลาดส่งออกสินค้าเกษตร ต้นทุนการผลิตในภาพรวมที่ลดลงตามราคาพลังงานที่ต่ำกว่าปีก่อน 2. ค่าเงินบาทที่ยังคงแข็งค่าต่อเนื่อง 3. การแข่งขันด้านราคาจากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกรายสำคัญ และ 4. กำลังซื้อภายในประเทศที่อ่อนแอตามสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ทั้งนี้ ควรเร่งยุติสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดน เพื่อฟื้นฟูการค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน ไปพร้อมกับการขยายตลาดใหม่เพิ่มเติม เพื่อชดเชยภาคการส่งออกที่อาจได้รับผลกระทบ จากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม สำหรับแนวโน้มดัชนีราคาผู้ผลิต เดือนสิงหาคม 2568 มีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญจาก 1. สินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ มีแนวโน้มเข้ามาเพิ่มขึ้น จากการระบายสินค้าอุปทานส่วนเกินของประเทศ ผู้ผลิตรายใหญ่ กดดันราคาสินค้าของผู้ผลิตในประเทศ 2. การปรับลดราคาสินค้าส่งออกชดเชยอัตราภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ เพื่อคงความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิต 3. อุปสงค์ของตลาดปลายทางในภาพรวมที่ลดลง ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับการแข่งขันที่สูงขึ้นในการหาตลาดปลายทางใหม่ของกลุ่มประเทศผู้ส่งออก กดดันราคาสินค้าในภาคการส่งออก 4. อุทกภัยทางภาคเหนือ ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ และ 5. ความขัดแย้งบริเวณชายแดน ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งการค้าชายแดน การค้าผ่านแดน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่โดยรอบ

 

A person in a suit and tie

AI-generated content may be incorrect.

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์

เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

 

3. บีโอไอมั่นใจญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ปักหมุดลงทุนไทยไม่ย้ายฐานผลิต (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 6 สิงหาคม 2568)

นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ เปิดเผยว่า กรณีที่สหรัฐปิดดีลภาษีกับประเทศอาเซียน โดยไทยถูกเรียกเก็บภาษีที่อัตรา 19% มากกว่าญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ซึ่งถูกเรียกเก็บในอัตรา 15% เชื่อว่าจะไม่มีผลต่อการย้าย/ขยายฐานการผลิตเพราะการลงทุนเป็นการวางแผนระยะยาว อัตราภาษีเป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัย ที่ ผู้ประกอบการจะนำใช้พิจารณาในการเลือกแหล่งลงทุน สำหรับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มญี่ปุ่นและเกาหลีใต้การตัดสินใจย้ายหรือขยายฐานการผลิต จะพิจารณาหลายปัจจัยประกอบกัน เช่น คุณภาพของโครงสร้างพื้นฐานและระบบโลจิสติกส์ ความพร้อมของซัพพลายเชน คุณภาพของบุคลากร ต้นทุนแรงงานและพลังงาน สิทธิประโยชน์และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงกฎระเบียบและสิ่งแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการประกอบธุรกิจ ซึ่งประเทศไทยมีความได้เปรียบในเรื่องดังกล่าวเหล่านี้ ทั้งนี้ ในแง่ภาษีแม้จะมีส่วนต่าง 4% แต่ต้นทุนการผลิตโดยรวมในญี่ปุ่นและเกาหลี ยังสูงกว่าไทยมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าจ้างบุคลากร ค่าที่ดิน ค่าพลังงาน หรือค่าบริหารจัดการต่างๆ ดังนั้นลำพังส่วนต่างภาษี 4% อาจยังไม่เพียงพอ ที่จะจูงใจให้ย้ายฐานการผลิตกลับประเทศแม่ ขณะเดียวกัน ฐานการผลิตของญี่ปุ่นในประเทศไทยมีความแข็งแกร่งสูง ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีระบบซัพพลายเชนครบวงจร และมีประสิทธิภาพ ในระดับต้นๆ ของโลก นักลงทุนญี่ปุ่นยังมองไทยเป็นฐานการลงทุนที่สำคัญของภูมิภาค รวมทั้งใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดทั่วโลก มิใช่เพียงตลาดสหรัฐฯ เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเองยังต้องเร่งยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านต่างๆ เช่น การขยายพื้นที่อุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมที่เติบโตอย่างรวดเร็ว การจัดทำกลไกพลังงานสะอาดในราคาที่แข่งขันได้ การพัฒนาบุคลากรทักษะสูงรองรับอุตสาหกรรม ใหม่ๆ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ PCB และเทคโนโลยี AI รวมทั้งการสร้างความสะดวกในการประกอบธุรกิจ เพื่อให้ไทยมีความสามารถในการดึงดูดการลงทุนได้ดียิ่งขึ้น

 

ข่าวต่างประเทศ

A close up of a flag

AI-generated content may be incorrect.

 

4. สหรัฐเผยขาดดุลการค้าต่ำสุดรอบเกือบ 2 ปี จากอานิสงส์ภาษีทรัมป์ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 6 สิงหาคม 2568)

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐลดลง 16.0%  สู่ระดับ 6.02 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 6.26 หมื่นล้านดอลลาร์ จากระดับ 7.17 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งตัวเลขขาดดุลการค้าที่ลดลงดังกล่าวเกิดจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งทำให้การนำเข้าสินค้าเพื่อผู้บริโภคลดลงอย่างมาก และเป็นปัจจัยหนุนให้เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 3.0% ในไตรมาส 2/2568 หลังจากหดตัวลง 0.5% ในไตรมาส 1/2568 ทั้งนี้ การนำเข้าลดลงสู่ระดับ 3.375 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่การส่งออกลดลงสู่ระดับ 2.773 แสนล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ กล่าวว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าของสหรัฐที่มีต่อจีนลดลง 33.0% สู่ระดับ 9.50 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 21 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2547

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)