ข่าวในประเทศ
นางดวงดาว ขาวเจริญ
รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
1. DIPROM ยกระดับบุคลากรในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามไทย (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 7 สิงหาคม 2568)
นางดวงดาว ขาวเจริญ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามของไทยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจภายในประเทศและการส่งออก โดยในปี 2566 ไทยมีมูลค่าการค้าเครื่องสำอางในตลาดโลกประมาณ 1.3 แสนล้านบาท (หรือ 3.79 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ : คำนวณจากอัตรา แลกเปลี่ยน 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ) หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 11.45 จากปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับการเติบโตของมูลค่าการค้าเครื่องสำอางของโลก ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว รองลงมา คือ ผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม สบู่ ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากและฟัน ผลิตภัณฑ์ ระงับกลิ่นกาย และน้ำหอม ตามลำดับ ซึ่งล้วนแต่มีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อยกระดับคุณภาพ ประสิทธิภาพ และสร้างความพึงพอใจแก่ผู้บริโภค (ที่มา : รายงานการศึกษา ยกระดับเครื่องสำอางไทยให้ตรงใจตลาดใหม่ สำนักงานนโยบายและยุทศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์) ซึ่งสิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าการผลิตสินค้า คือ "บุคลากร" ที่มีความรู้ ความสามารถ และเข้าใจในทิศทางของตลาดโลก การดำเนินกิจกรรมครั้งนี้จึงเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความพร้อมของบุคลากรไทย ให้สามารถพัฒนาและยกระดับทั้งในด้านความเชี่ยวชาญ การออกแบบ การสร้างแบรนด์ และการตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม สำหรับกิจกรรมการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามไทย เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้บุคลากรในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามไทย ได้พัฒนาความรู้ ความสามารถ เสริมสร้างความพร้อมในการสร้างแบรนด์ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่อย่างสร้างสรรค์ ช่วยส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามไทยให้มีความรู้ในด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสร้างแบรนด์ การตลาด และสามารถดึงอัตลักษณ์ความเป็นไทยมาพัฒนาแบรนด์ให้โดดเด่น คาดว่ากิจกรรมนี้จะก่อให้เกิดรากฐานที่มั่นคงในการพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องสำอางและความงามในประเทศไทยให้เติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป
นายผยง ศรีวณิช
ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย
2. กกร. ชี้ต้องเร่งปรับตัว รับมือการแข่งขันเดือดด้านราคา (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 7 สิงหาคม 2568)
นายผยง ศรีวณิช ประธานกรรมการสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) โดยมี นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมในการแถลงข่าว โดยระบุว่า เศรษฐกิจโลกมีทิศทางดีขึ้นหลังสหรัฐฯ ประกาศข้อตกลงด้านภาษีกับหลายประเทศ อัตราภาษีศุลกากรส่วนใหญ่ปรับลดลงกว่าที่สหรัฐฯ ประกาศเมื่อเดือนเมษายน 2568 โดยเฉพาะสำหรับประเทศในเอเชียและอาเซียน ประมาณการเศรษฐกิจโลกปี 2568 โดย IMF ปรับเพิ่มเป็นเติบโต 3% จากเดิม 2.8% ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่อยู่ประมาณ 3.5% สะท้อนภาวะชะลอตัวจากผลของกำแพงภาษีสูง และความไม่ชัดเจนในรายละเอียดของการดำเนินการ โดยเฉพาะประเด็นที่เกี่ยวข้องกับภาษีสินค้า transshipment และการกำหนดสัดส่วน local content ของแต่ละประเทศ ทั้งนี้ ไทยต้องเร่งปรับตัวรับมือทั้งในระยะสั้น และการเปลี่ยนผ่านในระยะข้างหน้า ซึ่งในระยะสั้นการแข่งขันด้านราคาจะเพิ่มขึ้น ทั้งสินค้าที่ไทยส่งออกและสินค้าที่ขายในประเทศ ที่จะแข่งขันกับสินค้าที่ไทยเปิดตลาดนำเข้าเพิ่มขึ้น ซึ่งจะกระทบกลุ่มที่มี Margin ต่ำ และต้องเร่งสำรวจการใช้ Local Content เพื่อลดความเสี่ยงภาษี transshipment รวมถึงบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในส่วนพิธีการศุลกากร และการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่ขายในประเทศ ขณะที่นโยบายการค้าของสหรัฐฯ เป็น wake-up call ให้ไทยใช้โอกาสนี้ในการปรับตัวเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของภาคเอกชน โดยเฉพาะ SMEs ทั้งการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรม กำหนด Priority Sectors ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของประเทศ ยกระดับกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่อุปทาน และอุตสาหกรรมต้นน้ำ เพื่อเพิ่ม local content เพิ่ม Productivity ลดต้นทุน ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม และยกระดับทักษะแรงงานการจ้างงานของแรงงานไทยในประเทศ แรงงานต่างด้าว และมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของประเทศ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
อย่างไรก็ตาม สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวได้ที่ 1.8-2.2% ปรับเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิมที่ 1.5-2.0% ในเดือนกรกฎาคม 2568 ส่วนการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัว 2-3% สูงกว่าประมาณการเดิมเช่นกัน โดยความสำเร็จจากการเจรจาการค้าส่งผลให้ไทยถูกเรียกเก็บภาษีที่ 19% แทน 36% ซึ่งยังต้องให้ความสำคัญกับรายละเอียดที่ต้องมีการเจรจากันต่อไป เบื้องต้นทำให้ไทยไม่เสียเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็น worst case scenario ทั้งนี้ เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัว โดยการส่งออกแผ่วลงหลังหมดปัจจัยชั่วคราวจากการเร่งส่งออก การแข่งขันด้านราคาที่มากขึ้น ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจนอกระบบ และกำลังซื้อของผู้บริโภคสหรัฐฯที่ลดลงจากเงินเฟ้อ ส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวชะลอตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะ short haul ที่ชะลอตัว รวมทั้งผลกระทบจากปัจจัยความขัดแย้งไทย-กัมพูชา
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
3. 'บีโอไอ' ขน 30 บิ๊กคอร์ปโลก กล่อมเชื่อมั่นขยายลงทุนไทย (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 7 สิงหาคม 2568)
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยภายหลังร่วมหารือกับผู้บริหารบริษัทชั้นนำระดับโลก กว่า 30 บริษัท จากสหรัฐ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ไต้หวัน และสิงคโปร์ โดยมี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า บริษัทเอกชนส่วนใหญ่เป็นบริษัทรายใหม่ที่ได้ตัดสินใจเข้ามาขยายการลงทุนขนาดใหญ่ในไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีมูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 550,000 ล้านบาท และได้ช่วยสร้างงานให้บุคลากรไทยกว่า 53,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ อุตสาหกรรมส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 4 สาขาหลัก เช่น เซมิคอนดักเตอร์ และ อิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง, ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่, ดิจิทัล เช่น กูเกิล ติ๊กต็อก และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพและอาหาร โดยการหารือครั้งนี้ มีเป้าหมายเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติในการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ภายหลังจากความสำเร็จของทีมไทยแลนด์ในการเจรจาภาษีกับสหรัฐอเมริกา โดยรัฐบาลไทยต้องการสื่อสารให้นักลงทุนต่างชาติได้ทราบถึงความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนนโยบายสนับสนุนการลงทุนอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางความท้าทายจากภูมิรัฐศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายลิม เหว่ย กอ รองประธานอาวุโสและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อินฟินีออน เทคโนโลยีส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า สิ่งสำคัญยิ่ง ไทยได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทผู้นำในด้านนี้อย่างชัดเจน ผ่านความมุ่งมั่นต่อการสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ การปฏิรูปกฎระเบียบ และการขับเคลื่อนสู่ยุคดิจิทัล ด้วยวิสัยทัศน์และนโยบายของรัฐบาลไทย ทางด้าน น.ส.ซู แอน ลิม ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์และนโยบายสาธารณะ กูเกิล คลาวน์ เอเปค กล่าวว่า กลุ่มอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์เชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย และพร้อมทำงานร่วมกับรัฐบาลไทย ที่ผ่านมาบริษัทได้พัฒนาคนไทยด้านดิจิทัลและเอไอ 3.6 ล้านคน เพื่อยกระดับการพัฒนาระบบนิเวศด้านดิจิทัล
ข่าวต่างประเทศ
4. ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมเยอรมนีเดือนมิ.ย.ทรุดหนักสวนคาดการณ์ เซ่นพิษภาษีสหรัฐฯ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 7 สิงหาคม 2568)
สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนี เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมของประเทศในเดือนมิถุนายน 2568 ได้ร่วงลง 1% เมื่อเทียบรายเดือนแบบปรับค่าตามฤดูกาลและตามปฏิทินแล้ว ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเติบโต 1.0% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และน่ากังวลยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อพิจารณาว่าตัวเลขของเดือนพฤษภาคม ก็เพิ่งถูกปรับแก้ให้ดีขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะลดลงถึง 1.4% ถูกปรับเป็นลดลงเพียง 0.8% เท่านั้น โดยสาเหตุสำคัญมาจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ซบเซาลงอย่างหนัก โดยเฉพาะจากลูกค้านอกยุโรป ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าพิษจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเยอรมนีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทางด้านวินเซนต์ สตาเมอร์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Commerzbank กล่าวว่า การลดลงของยอดสั่งซื้อจากนอกกลุ่มยูโรโซนนั้นเห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯ เริ่มออกฤทธิ์แล้ว ซึ่งหมายความว่าการฟื้นตัวของยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมยังคงอยู่อีกยาวไกล ทั้งนี้ สถานการณ์มีแนวโน้มจะเลวร้ายลงไปอีก เนื่องจากมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ที่จะเก็บเพิ่ม 15% ต่อสินค้าจากสหภาพยุโรป กำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม 2568 นี้ ซึ่งจะทำให้สินค้า "Made in Germany" มีราคาแพงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)