ข่าวในประเทศ
น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. 'พิมพ์ภัทรา' นำทีมดึงญี่ปุ่นขยายลงทุนในไทย (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567)
นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 7-11 กุมภาพันธ์ 2567 ทางกระทรวงอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) และคณะสื่อมวลชน เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมการลงทุน (โรดโชว์) ในนิคมอุตสาหกรรมไทย ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เพื่อนำเสนอข้อมูลปัจจุบันของพื้นที่การลงทุนในประเทศไทย ศักยภาพ และความพร้อมในการรองรับการลงทุน ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการลงทุนในพื้นที่อีอีซี และพื้นที่ทุกภูมิภาคของประเทศ ขณะเดียวกันยังได้พบกับบริษัทเอกชนรายใหญ่ผู้นำด้านเทคโนโลยีของประเทศญี่ปุ่น 3 บริษัท ซึ่งเป็นลูกค้าปัจจุบันในนิคมอุตสาหกรรม เพื่อหารือถึงการขยายการลงทุนในอนาคต โดยมีโอกาสในการขยายการลงทุนมูลค่ารวมกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในหลายด้าน ได้แก่ เพิ่มมูลค่าการ ส่งออก เพิ่มการจ้างงาน พัฒนาทักษะแรงงานพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งทำให้เกิดความเชื่อมโยง Supply Chain ในประเทศได้อีกด้วย ซึ่งครั้งนี้ยังมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กับ บริษัท ไอเอชไอ คอร์ปอเรชั่น และ บริษัท ไอเอชไอ เอเชียแปซิฟิค (ประเทศไทย) จำกัด ว่าด้วยความร่วมมือในการศึกษาความเป็นไปได้ของการให้บริการสาธารณูปโภคสีเขียว (Green Utility) ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เพื่อบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนสำหรับนิคมอุตสาหกรรมและโรงงานในนิคมอุตสาหกรรม โดยความร่วมมือครั้งนี้มุ่งเน้นไปที่การศึกษาและพัฒนาระบบการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การใช้พลังงานทดแทนในนิคมอุตสาหกรรม การพัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่สำหรับ "การให้บริการสาธารณูปโภคสีเขียว" ซึ่งคาดว่าความร่วมมือนี้ จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการไทย และส่งเสริมการลงทุนในธุรกิจสีเขียวต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า การลงนาม MOU ครั้งนี้ เป็นการต่อยอดความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่น ในการขับเคลื่อนการใช้พลังงานทดแทนที่ กนอ. มุ่งมั่นส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมไทยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรม มาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดต้นทุนการผลิต และยกระดับให้บริการสาธารณูปโภคสีเขียว ในพื้นที่ นิคมอุตสาหกรรม โดยความร่วมมือแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 : ศึกษาความเป็นไปได้ (1 ปี) ระยะที่ 2 : ตั้งโรงงาน ต้นแบบ และระยะที่ 3 : ร่วมธุรกิจเชิงพาณิชย์ (หากผลการศึกษาเป็นไปได้) ความร่วมมือนี้ จะช่วยบูรณาการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านสาธารณูปโภคสีเขียวกับพลังงานทดแทนภายในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และยกระดับกระบวนการผลิตของโรงงานต้นแบบเพื่อการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยและบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนสำหรับโรงงานและนิคมอุตสาหกรรม
นางวรวรรณ ชิตอรุณ
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.)
2. นำร่องตั้งหน่วยงานกลาง หนุนอุตฯฮาลาลลุยตลาดต่างประเทศ (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567)
นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ความคืบหน้าในการส่งเสริมอุตสาหกรรมฮาลาลนั้น ในเบื้องต้นมีข้อเสนอในลักษณะของการจัดตั้งหน่วยงานกลางขึ้น โดยข้อเสนอที่เข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปแล้วเป็นลักษณะของการตั้งหน่วยงานขึ้นมา เพื่อประเมินก่อนว่าหน่วยงานแบบใดถึงจะเหมาะสม ซึ่งยังไม่ได้มีการระบุชัดเจนว่าจะเป็นหน่วยงานประเภทใด โดยจะต้องให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) ประเมินตามหลักวิธีการก่อน ทั้งนี้ การจัดตั้งเป็นกรมใหม่ค่อนข้างยุ่งยาก เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมายหรือกฤษฎีกา โดยวิธีการทำงานที่เร็วที่สุด คือ การนำหน่วยงานที่มีอยู่ ทำงานไปก่อน ดังนั้นจึงใช้สถาบันอาหารเป็นโครงก่อน เพราะในเบื้องต้น ของแนวคิดจะมุ่งเน้นเรื่องของอุตสาหกรรมอาหารเป็นหลัก ในขณะที่สถาบันอาหารเองก็ทำเรื่องอาหารฮาลาลมาตลอด โดยจะมอบหมายให้ผู้แทนการค้า เป็นผู้นำในการเจรจาการค้า เพื่อเปิด หรือขยายตลาดส่งออก เพื่อให้รู้ว่าประเทศไทยมีศักยภาพหรือร้านค้าจำนวนเท่าไหร่ เพื่อดูผลตอบรับจากต่างประเทศว่าสนใจหรือไม่ที่จะมาลงทุนร่วมกับประเทศไทย หรือสนใจจะรับสินค้าจากประเทศไทยไปขายหรือไม่ สำหรับคนที่จะเข้ามาร่วมทำงานก็จะเป็นลักษณะของการยืมตัวเข้ามาทำงาน เช่น เจ้าหน้าที่จากกระทรวงพาณิชย์ เพราะเป็นการเปิดตลาด, เจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (BOI) และสศอ. เข้าไปสนับสนุน หรือหน่วยงานใดที่เกี่ยวข้องกับงานไหน ก็อาจจะยืมตัวมาก่อน ซึ่งเป็นข้อเสนอของ ก.พ.ร.
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานกลางดังกล่าว จะเป็นการบริหารงานภายใต้คณะกรรมการกำกับนโยบาย หรือคณะกรรมการฮาลาลแห่งชาติ โดยที่ สศอ.มีข้อเสนอในการแต่งตั้งคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย 1. ตั้งผู้แทนการค้า เพื่อทำหน้าที่ในการเปิดหรือขยายตลาด ซึ่งถือเป็น เรื่องเร่งด่วนในการทำอุตสาหกรรมฮาลาล 2. ตั้งคณะกรรมการฮาลาลแห่งชาติ เนื่องจากมองว่าจะต้องมีผู้แทนการค้าและหน่วนงานที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก 3. การดำเนินการในระยะเร่งด่วนช่วงแรก โดยมีการของบกลางไปประมาณ 90 ล้านบาท เพื่อเปิดตัว หรือดำเนินการส่วนอื่นเบื้องต้น ซึ่งประเด็นสำคัญ คือ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ต้องการนำอุตสาหกรรมฮาลาลไปช่วยกระตุ้นการลงทุนใน 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งมีความพร้อมทางด้านฮาลาล
นายจุลพงษ์ ทวีศรี
อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.)
3. กรอ.หนุนอายิโนะโมะโต๊ะ ใช้ประโยชน์ของเสียมุ่งบีซีจี (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2567)
นายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ในฐานะประธานคณะทำงานด้านเทคนิคสำหรับส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากกากอุตสาหกรรมและการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว หรือ TWG (Technical Working Group) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมโรงงาน บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งอยู่ ณ ถนนบางปะหัน-นครหลวง ตำบลบางระกำ อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนคร ศรีอยุธยา เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้โครงการ Application of industry - urban symbiosis and green chemistry for low emission and persistent organic pollutants free industrial development in Thailand มุ่งเน้นการพัฒนาอุตสาหกรรมที่นำของเสียที่มีศักยภาพให้สามารถนำกลับมาเป็นวัตถุดิบเพื่อใช้ประโยชน์ใหม่ เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนคู่ชุมชน
อย่างไรก็ตาม ในการหารือกับผู้บริหาร นายทองดี ปาโส กรรมการผู้จัดการ และ นายศรชัย กุสันใจ กรรมการ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำเสนอการดำเนินงานผ่านโครงการการศึกษาเพื่อผลิตสารละลายไบโอโซเดียมซิลิเกตและ ไบโอโพแทสเซียมซิลิเกตอย่างยั่งยืนจากขี้เถ้าแกลบ กรอ.จึงแนะนำแนวทางและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เทคนิคการใช้ประโยชน์จากกากอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้ความสำคัญและผลักดันหลักการ End-of-Waste หรือการสิ้นสุดของการเป็นของเสีย สอดรับนโยบายการพัฒนาบีซีจี โมเดล ภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนของกระทรวงอุตสาหกรรม ที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยเดินหน้าอย่างเต็มประสิทธิภาพ พร้อมบูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในการส่งเสริมสนับสนุนให้มีการพัฒนาและใช้ประโยชน์จากกากอุตสาหกรรมอีกทั้งเอื้อประโยชน์ร่วมกันระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชนอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมต่อไป
ข่าวต่างประเทศ
4. เศรษฐกิจสิงคโปร์โตต่ำคาดที่ 2.2% ใน Q4/66 เหตุภาคการผลิตหดตัว (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567)
กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมของสิงคโปร์ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจสิงคโปร์ขยายตัว 2.2% ในไตรมาส 4/66 เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ว่าจะโต 2.8% เนื่องจากอุตสาหกรรมการผลิตหดตัว ซึ่งตัวเลขดังกล่าวสูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไตรมาส 3/66 ที่มีการเติบโตรายปีเพียง 1% ทั้งนี้ เมื่อเทียบรายไตรมาสแบบปรับค่าตามฤดูกาลแล้ว GDP สิงคโปร์ขยายตัว 1.2% ในไตรมาส 4/66 ดีกว่าระดับ 1.0% ในไตรมาส 3/66 ถ้าพิจารณาภาพรวมทั้งปี 2566 แล้ว GDP สิงคโปร์เติบโตที่ 1.1% ลดลงมาจากที่รัฐบาลประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ที่ 1.2% และชะลอตัวลงจากระดับ 3.8% ในปี 2565 ทางด้านสำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ปัจจัยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของปีที่แล้วส่วนใหญ่มาจาก "อุตสาหกรรมบริการอื่นๆ" ซึ่งขยายตัว 3.9% เมื่อเทียบเป็นรายปี นอกจากนี้ ภาคสารสนเทศและการสื่อสาร รวมถึงการขนส่งและการจัดเก็บสินค้า ก็เป็นปัจจัยผลักดันการเติบโตเช่นกัน ส่วนภาคการผลิตซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจสิงคโปร์ หดตัว 4.3% ตรงกันข้ามกับเมื่อปี 2565 ที่เติบโต 2.7% ส่วนภาคการก่อสร้างของสิงคโปร์ขยายตัว 5.2% สูงกว่าระดับ 4.6% ในปี 2565 ภาคสารสนเทศและการสื่อสารมีการเติบโตอยู่ที่ 4.7% ในไตรมาส 4/66 เมื่อเทียบเป็นรายปี ชะลอตัวลงจาก 6% ในไตรมาส 3/66 ขณะที่ภาคการเงินและการประกันเติบโต 5.4% ในไตรมาส 4/66 เมื่อเทียบเป็นรายปี สูงกว่าไตรมาสก่อนที่โตเพียง 2.5%
อย่างไรก็ตาม สำหรับปี 2567 ทางกระทรวงฯ คาดการณ์ว่า GDP จะโต 1%-3% โดยคาดว่า ภาคการผลิตและการค้าจะค่อยๆ ฟื้นตัวตามความต้องการอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก นอกจากนี้ ดีมานด์การท่องเที่ยวและการเดินทางด้วยเครื่องบินที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องก็จะช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวและการบินของสิงคโปร์ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ ทางกระทรวงฯ ระบุว่า เศรษฐกิจโลกยังคงเผชิญแรงต้าน ทั้งเรื่องสงครามในยูเครนและฉนวนกาซา รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังการคุมเข้มทางการเงิน
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)