ข่าวในประเทศ
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. 'เอกนัฏ' ปรับอุตฯ ไทยแข่งคุณภาพไม่มุ่งราคา (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 17 มิถุนายน 2568)
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการอบรมหลักสูตร "Sustainable & Green Industrial Leadership (SGIL)" รุ่นที่ 1 จัดโดยสถาบันวิทยาการอุตสาหกรรม ภายใต้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ว่า ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาที่เกิดจากทัศนคติที่มุ่งเน้นแต่ของถูก ซึ่งสร้างผลกระทบในวงกว้าง มีการลักลอบนำเข้าสินค้าผิดกฎหมายและไร้คุณภาพสูง เช่น พลาสติก, เศษเหล็ก, และขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-waste) ซึ่งกระจายไปทั่วประเทศและสร้างมลพิษร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกันเกิด "อุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ" และการใช้ "ทุนนอมินี" เป็นช่องทางให้ทุนต่างชาติเข้ามายึดครองภาคบริการและการผลิต แม้ตัวเลขการลงทุน (FDI) จะดูเป็นที่น่าพอใจ แต่เม็ดเงินกลับไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้ประเทศอย่างแท้จริง โดยภาคการผลิตจำนวนมากยังคงพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ ใช้แรงงานต่างด้าวแล้วเพียงปั๊มตราสินค้าไทย ผลิตสินค้าเถื่อน โดยไม่ได้สร้างนวัตกรรมหรือคุณค่าที่แท้จริง ทั้งนี้ ได้เสนอทิศทางใหม่โดยให้เปลี่ยนจากการแข่งขันที่ราคา มาเป็นการแข่งขันที่คุณภาพและความรับผิดชอบ อาทิ การจัดการอุตสาหกรรมศูนย์เหรียญ และผลักดันการแข่งขันด้วยคุณภาพของสินค้า ไม่ใช่แค่ของถูก ไร้คุณภาพ และไม่ปลอดภัย แต่ต้องผลิตของที่ถูกต้อง รับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในทุกขั้นตอน ปลอดภัยต่อผู้บริโภค และยกระดับมาตรฐานคุณภาพสินค้าไทยให้ตอบรับผู้บริโภคยุคใหม่
อย่างไรก็ตาม ทางด้านนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมไทยกำลังเผชิญความท้าทายจากการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ทั้งจากปัญหาภายในที่โรงงานบางแห่งลักลอบก่อมลพิษหรือหลบเลี่ยงภาษีเพื่อลดต้นทุน และภัยคุกคามภายนอกจากผลพวงของสงครามการค้าที่นำไปสู่ปัญหาการสวมสิทธิสินค้า ซึ่งการกระทำเหล่านี้ล้วนบ่อนทำลายผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างจริงจัง กระทรวงจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และเอาจริงกับผู้ที่ฝ่าฝืน
นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา
อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
2. ดีพร้อม เฟ้นหาอุตฯ ดีเด่นด้านโลจิสติกส์-ห่วงโซ่อุปทานปี 68 (ที่มา: แนวหน้า, ประจำวันที่ 20 มิถุนายน 2568)
นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม ได้มีการประชุมคณะทำงานพิจารณาคัดเลือกอุตสาหกรรมดีเด่น ประเภทการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน ครั้งที่ 1/2568 โดยมีนายสุรพล ปลื้มใจ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เป็นประธาน นายอาทิตย์ พัฒนพงศ์ชัย รองประธานคณะทำงานฯ พร้อมคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมประชุม สำหรับการประชุมในครั้งนี้ มีการชี้แจงข้อมูลให้ที่ประชุมได้รับทราบถึงรายชื่อคณะทำงาน กระบวนการพิจารณาคัดเลือก รวมถึงหลักเกณฑ์การคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ประเภทการจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน ประจำปี พ.ศ. 2568 พร้อมทั้งแจ้งรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกอุตสาหกรรมดีเด่น และกำหนดการตรวจประเมินสถานประกอบการรอบที่ 1 โดยมีสถานประกอบการเข้ารับการตรวจประเมินจำนวน 8 บริษัท ทั้งนี้ ทางด้านนายสุรพล ปลื้มใจ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ประเภทการจัดการ โลจิสติกส์และโซ่อุปทานนี้ เป็นรางวัลที่มอบให้กับผู้ประกอบการที่โดดเด่นในด้านการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน รวมถึงมีการประกอบการเป็นอุตสาหกรรมที่ดี เติบโตและอยู่คู่กับชุมชนอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นให้ภาคอุตสาหกรรมมีการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้สามารถปรับตัวเข้าสู่โลกอนาคต และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ตลอดจนส่งเสริมให้ชุมชนรักโรงงาน โรงงานรักชุมชน และสร้างการกระจายรายได้สู่ชุมชน ตามนโยบาย MIND ในการเติบโตอย่างยั่งยืนใน 4 มิติ ของ นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม
อย่างไรก็ตาม เกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกแบ่งออกเป็น 5 หมวด ได้แก่ หมวดที่ 1 การกำหนดกลยุทธ์การบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทานที่ยั่งยืน หมวดที่ 2 การวางแผนการบริหารจัดการโลจิสติกส์แสะโซ่อุปทานอย่างยั่งยืน หมวดที่ 3 การวัดประสิทธิภาพการบริหารจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หมวดที่ 4 การบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศและเทคโนโลยีโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน และ หมวดที่ 5 ความร่วมมือด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทานกับองค์กรภายนอก ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ มีการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้น พร้อมกับให้คะแนนจากการตรวจประเมินในรอบที่ 1 เพื่อคัดเลือกสถานประกอบการที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เพื่อดำเนินการตรวจประเมิน ณ สถานประกอบการต่อไป
ดร. จุฬา สุขมานพ
เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ
3. สกพอ. รุกตลาดยุโรปดึงบริษัทชั้นนำ ลงทุนอุตสาหกรรมสีเขียวใน EEC (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, ประจำวันที่ 19 มิถุนายน 2568)
ดร. จุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) นำคณะเดินทางไปราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 8 – 15 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อชักชวนการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม Bio-Circular-Green (BCG) โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อาหาร เคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมหมุนเวียน โดยคณะฯ ได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มบริษัทชั้นนำด้านการเกษตรอัจฉริยะ ได้แก่ Rijk Zwaan, Priva, Van der Hoeven, Koppert Biologic และ Hydrosat กลุ่มบริษัทและองค์กรชั้นนำด้านอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ Unilever, Thai Union และ FoodX กลุ่มบริษัทชั้นนำด้านเคมีชีวภาพ ได้แก่ Corbion และ Avantium และกลุ่มบริษัทด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่ Oryx Stainless ทั้งนี้ การเข้าร่วมประชุมและพบปะบริษัทชั้นนำจากเนเธอร์แลนด์ดังกกล่าว สกพอ. สวทช. และ กนอ. ได้ร่วมกันนำเสนอความพร้อมในการรองรับการลงทุน การสนับสนุนด้านสิทธิประโยชน์ในด้านภาษีและมิใช่ภาษีสำหรับการลงทุน การส่งเสริมด้านโครงสร้างพื้นฐานทั้งด้านการลงทุน และการสนับสนุนด้านวิจัยและพัฒนา ตลอดจนโอกาสในการลงทุนของอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) และประเทศไทย เพื่อสร้างโอกาสและพร้อมดึงดูดนักลงทุนให้เข้าสู่พื้นที่อีอีซีต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ สกพอ. และคณะฯ ได้มีโอกาสเข้าพบหารือกับบริษัทที่เข้าร่วมงาน GreenTech Amsterdam 2025 งานแสดงสินค้าและการประชุมระดับนานาชาติที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร ถือเป็นเวทีสำคัญของผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ด้านเกษตรสมัยใหม่ และอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ สกพอ. ต้องการส่งเสริมการลงทุน โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนในเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor of Innovation: EECi) ที่ออกแบบให้เป็นพื้นที่รองรับการลงทุนในนวัตกรรมใหม่ และเป็นศูนย์รวมระบบนิเวศนวัตกรรมชั้นนำ (Innovation Ecosystem) ที่ช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนไทย และภาคเอกชนจากต่างประเทศ
ข่าวต่างประเทศ
4. IMF เตือนเศรษฐกิจยูโรโซนเสี่ยงขาลง คาด GDP อาจโตเพียง 0.8% ปีนี้ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 20 มิถุนายน 2568)
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เปิดเผยรายงานว่า ยูโรโซนมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจซบเซา หากไม่มีมาตรการเร่งด่วนเพื่อรับมือกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ การลงทุนที่อ่อนแอ และภัยคุกคามทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น โดย IMF ระบุว่า ความตึงเครียดด้านการค้าและอุปสงค์ที่ซบเซาลง กำลังส่งผลกระทบต่อแรงผลักดันทางเศรษฐกิจของยูโรโซน โดยมีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจยุโรปจะเผชิญภาวะขาลง ทั้งนี้ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในกลุ่มยูโรโซนจะขยายตัวเพียง 0.8% ในปี 2568 แม้อัตราว่างงานอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์และอัตราเงินเฟ้ออยู่ใกล้เคียงกับเป้าหมายก็ตาม โดย IMF แนะนำให้รัฐบาลในกลุ่มยูโรโซนใช้มาตรการที่แข็งแกร่งเพื่อพลิกฟื้นประสิทธิภาพด้านการผลิตและกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว พร้อมกับเตือนว่าการแตกกลุ่ม (fragmentation) ทางการค้าที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ กำลังบั่นทอนการเติบโตของภาคเอกชน เนื่องจากบริษัทเอกชนต้องแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร โดยหากรัฐบาลในกลุ่มยูโรโซนสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวผ่านการใช้กฎระเบียบที่สอดคล้องกันและการปฏิรูปตลาดทุน ก็อาจช่วยหนุนตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 3% ภายในช่วงเวลา 10 ปี
อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ รายงานของ IMF ระบุว่า ประเทศในกลุ่มยูโรโซนที่มีสถานะการคลังที่แข็งแกร่งควรจะเพิ่มการลงทุน เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศ การดูแลประชากรสูงวัย และการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศได้ทำให้งบประมาณการใช้จ่ายของรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ ทางด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยูโรโซนจะขยายตัวเพียง 0.9% ในปี 2568, 1.1% ในปี 2569 และ 1.3% ในปี 2570 โดย ECB ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวในปี 2569 ลง 0.1% เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ในเดือนมีนาคม
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)