ข่าวเด่นประจำสัปดาห์ที่ 4 ของเดือนกรกฎาคม 2568

ข่าวในประเทศ

A person holding a microphone

AI-generated content may be incorrect.

นายเอกนัฏ พร้อมพันธ์

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

1. 'เอกนัฏ' ชง 5 นโยบาย พลิกเกมอุตสาหกรรมไทย เตรียมรับสินค้าท่วมตลาด (ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, ประจำวันที่ 25 กรกฎาคม 2568)

นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาในงาน “Thailand Smart SME 2025: Smart Solutions & Sustainable Growth” จัดโดยโพสต์                 ทูเดย์ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 ว่า วันนี้ไทยตกอยู่ในสถานะตั้งรับ และถูกกำหนดเงื่อนไขจากประเทศมหาอำนาจ ทั้งเรื่องการกำหนดเส้นตายภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกาในวันที่ 1 สิงหาคม 2568 นี้ และการที่สหรัฐเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขว่าสินค้าประเภทใดจะถูกตีความว่าเป็นสินค้าผ่านทาง (transshipment) ทั้งนี้ มองว่า Dump อาจจะน่ากลัวกว่า Trump หมายถึงสินค้าที่อาจไหลทะลักเข้ามาจากซัพพลายส่วนเกินที่เกิดขึ้น ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน ดังนั้นการจัดการกับปัญหาภายในประเทศที่เร่งด่วนกว่า แทนที่จะมัวแต่คาดการณ์อัตราภาษีหรือมุ่งเจรจาเพียงอย่างเดียว โดยสิ่งที่เราควรทำ คือ การจัดการปัญหาภายในประเทศ ทำให้ประเทศไทยแข็งแรง และมีความพร้อมที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลง โดย 5 โจทย์หลักที่ไทยควรเร่งดำเนินการ ดังนี้ 1. การปราบปรามอุตสาหกรรม และธุรกิจศูนย์เหรียญ กลุ่มธุรกิจที่เข้ามาแย่งพื้นที่ทำมาหากิน ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เช่น เหล็ก พลาสติก และปิโตรเคมี ที่ผ่านมาไทยเปิดพื้นที่ให้อุตสาหกรรมเหล่านี้โดยเข้าใจผิดว่าการลงทุนมาผลิตในประเทศจะดีทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่สร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศ ทั้งการนำเข้าวัตถุดิบมา 2. มาตรการดูแลสินค้านำเข้าที่กำลังทะลักเข้ามาในประเทศ ท่ามกลางสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ-จีน สินค้าที่เคยผลิตเพื่อส่งออกแต่ไม่สามารถส่งออกได้กำลังทะลักเข้ามาขายในประเทศอื่นๆ รวมถึงไทย การนำเข้าต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม มีมาตรฐานไม่ใช่สินค้าเถื่อนโดยเฉพาะสินค้าที่ซื้อขายทางออนไลน์ ซึ่งมีช่องโหว่ทางกฎหมายทำให้ตรวจสอบผู้ขายได้ยาก 3. กระแสชาตินิยม และปลุกการบริโภคสินค้าในประเทศ ปลุกกระแสชาตินิยมเพื่อส่งเสริมการบริโภคสินค้าไทย และผลักดันนโยบาย "Thai Gift Policy" โดยเสนอให้เปลี่ยนจากการมี "no gift policy" สำหรับข้าราชการ มาเป็นการสนับสนุนการซื้อของขวัญที่เป็นสินค้าไทยแทน พร้อมทั้งแนะนำให้หน่วยงานภาครัฐ เช่น กองทัพ หรือโรงพยาบาล เริ่มจัดซื้อสินค้า และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตโดยคนไทยมากขึ้น 4. การส่งเสริมความสามารถของคนไทย การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ประเด็นนี้ครอบคลุมการพัฒนาทรัพยากรบุคคล (Human Resource Capability) การถ่ายทอดเทคโนโลยี การทำวิจัยและพัฒนา (R&D) ในประเทศ รวมถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การลงทุนที่เข้ามาควรต้องมีเงื่อนไขให้เกิดการลงทุนตรงกับคนไทย และธุรกิจไทยด้วย และ 5. ลดอุปสรรคการดำเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) เป้าหมายคือ การสร้างระบบที่รวดเร็ว และสุจริต มีกติกาที่สะดวกรวดเร็วสำหรับธุรกิจที่ต้องการเข้ามาลงทุนและทำมาค้าขายในประเทศไทย กระบวนการออกใบอนุญาตที่ล่าช้าเป็นอุปสรรคสำคัญ แม้แต่ประเทศอย่างสิงคโปร์ ที่ไม่มีทรัพยากรมากนักก็สามารถขับเคลื่อนประเทศด้วยนโยบายที่ส่งเสริมความรวดเร็ว โปร่งใส และมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม หาก SMEs ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของระบบเศรษฐกิจตายลง เศรษฐกิจของประเทศก็ไปต่อไม่ได้ ดังนั้น นโยบายเหล่านี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการช่วยเซฟ SME ของประเทศไทย แต่ยังเป็นการเซฟเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วย ทั้ง 2 เรื่องแยกออกกันไม่ได้

 

ดร.ณัฐพล รังสิตพล

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม

 

2. ก.อุตฯ ผนึกก.คมนาคมจัด "อุตสาหกรรมแฟร์ 68" เปิดพื้นที่ "กรุงเทพอภิวัฒน์" แก้เศรษฐกิจซบเซา (ที่มา: ผู้จัดการรายวัน 360 องศา, ประจำวันที่ 22กรกฎาคม 2568)

ดร.ณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมได้บูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กระทรวงคมนาคม การรถไฟแห่งประเทศไทย บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ในเครือสหพัฒน์ สมาคมยานยนต์แห่งประเทศไทย บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ในฐานะ MIND Ambassador และบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ในการจัดงาน "อุตสาหกรรมแฟร์ 2568 : รถไฟอุตสาหกรรม นำความสุขสู่คนไทย" ระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม - 3 สิงหาคม 2568 ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ เพื่อเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ในการทดสอบตลาดและเพิ่มช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ประกอบการ SME ไทย และวิสาหกิจชุมชน อีกทั้งผู้ประกอบการโรงงานยังได้มีพื้นที่ในการกระจายสินค้าถึงกลุ่มผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้อีกทางหนึ่ง รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อสินค้าอุตสาหกรรมไทยที่มีคุณภาพและราคาเป็นธรรม เพื่อให้ผู้บริโภคได้เข้าถึงสินค้าคุณภาพดีในราคาเหมาะสม อันจะเป็นการช่วยลดค่าครองชีพให้กับประชาชนและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศในช่วงกลางปีได้กว่า 300 ล้านบาท มีผู้เข้าชมงานกว่า 30,000 คน ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัด ไม่ว่าจะเป็นกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) และสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม (สปอ.) ดำเนินงานร่วมกับกระทรวงคมนาคมและภาคเอกชนในการจัดงานครั้งนี้ โดยภายในงาน "อุตสาหกรรมแฟร์ 2568 : รถไฟอุตสาหกรรม นำความสุขสู่คนไทย" จะมีการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้ามากมายให้ช้อปกันอย่างจุใจในสถานีกลาง พื้นที่กว่า 8,000 ตารางเมตร ซึ่งแบ่งเป็นโซนต่างๆ

อย่างไรก็ตาม สำหรับการจัดงานในครั้งนี้ยังมีอีกหนึ่งความร่วมมือครั้งสำคัญที่เกิดขึ้น คือ การลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) การยกระดับระบบคมนาคมขนส่งทางรางและการสร้างฐานการผลิตรถไฟมาตรฐานสากลภายในประเทศ ระหว่าง กระทรวงอุตสาหกรรม โดยกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) กับ กระทรวงคมนาคม โดย สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) (สทร.) ซึ่งจะมีการลงนามในวันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎาคม 2568 ก่อนช่วงพิธีเปิดงานอุตสาหกรรมแฟร์ 2568 โดยที่ผ่านมากระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงคมนาคม ได้มีการทำงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่องในการขับเคลื่อนและยกระดับอุตสาหกรรมรางเพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางระบบขนส่งโลจิสติกส์ของภูมิภาคอาเซียน

 

A person in a suit

AI-generated content may be incorrect.

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา

อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม

3. เปิดแผนปี 69 หนุนเอสเอ็มอีสู้สงครามการค้า (ที่มา: ทันหุ้น, ประจำวันที่ 24 กรกฎาคม 2568)

นางสาวณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภายหลังการประกาศนโยบายการค้าและเศรษฐกิจ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ดีพร้อมได้มีการจัดทำแผนรับมือกับสงครามการค้าที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมไทย (SME) โดยบรรจุแผนดำเนินการเหล่านี้ในคำขอโครงการปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ซึ่งจะให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบ หรือมีความเสี่ยงสูง เพื่อให้ ปรับตัวได้ทันต่อสถานการณ์และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สำหรับแนวทางการดำเนินงานในปี 2569 ดีพร้อมจะมุ่งส่งเสริม "Learning & Adaptation เรียนรู้ และปรับตัว" พัฒนาองค์ความรู้ด้านต่างๆ เพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ ด้านกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ทรัพย์สินทางปัญญา ข้อกำหนดใหม่ กฎระเบียบการนำเข้าสินค้าของสหรัฐ ด้านการตลาดดิจิทัล การบริหารจัดการยุคใหม่ การใช้เทคโนโลยี การบริหารความเสี่ยง แผนบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (BCP) และเรียนรู้แนวทางการปรับกลยุทธ์ธุรกิจ รวมทั้งส่งเสริม "การปรับกลยุทธ์ธุรกิจ" เพื่อให้ผู้ประกอบการปรับตัวใน 7 ด้าน ได้แก่ 1. ส่งเสริมกระจายความเสี่ยงจากตลาดเดียว โดยลดการพึ่งพาตลาดส่งออกตลาดเดียว หาตลาดใหม่ และใช้ประโยชน์จากข้อตกลงการค้ากับประเทศต่างๆ ให้ได้มากที่สุด 2. ยกระดับมาตรฐานสินค้า ซึ่งจะผลักดันให้เอสเอ็มอียกระดับมาตรฐานสากล สร้างมูลค่าเพิ่ม และสร้างความสามารถในการแข่งขัน 3. ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและดิจิทัล ในการปรับโมเดลธุรกิจและเข้าร่วมแพลตฟอร์มระหว่างประเทศ 4. บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการปรับกระบวนการผลิตให้ประหยัดพลังงาน ลดการใช้ทรัพยากร และลดความสูญเสีย 5. ติดตามข่าวสารและวิเคราะห์ความเสี่ยงเชิงนโยบาย โดยการติดตามสถานการณ์ ประเมินผลกระทบต่อสินค้าและธุรกิจ 6. เตรียมความพร้อมด้านกฎระเบียบและกติกาสากล โดยการทำความเข้าใจกฎ และมาตรการทางการค้าของประเทศปลายทาง และ 7. ส่งเสริมการเข้าร่วมโครงการสนับสนุนของภาครัฐ

อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ ยังได้กำหนดกลุ่มเป้าหมายที่มุ่งเน้นในสาขาอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมาก โดยเฉพาะกลุ่มที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐ เช่น กลุ่มสินค้าเกษตร กลุ่มไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ กลุ่มอุตสาหกรรมที่ประเทศคู่แข่งโดนภาษีต่ำกว่า และกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากตลอดห่วงโซ่การผลิต เป็นต้น

 

ข่าวต่างประเทศ

A flag with a red circle and black lines

AI-generated content may be incorrect.

 

4. เกาหลีใต้ GDP Q2/68 ขยายตัว 0.6% รอดเศรษฐกิจถดถอย (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 24 กรกฎาคม 2568)

ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 0.6% ในไตรมาส 2/2568 สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.5% และฟื้นตัวขึ้นจากไตรมาสแรกที่หดตัวลง 0.2% ส่งผลให้เกาหลีใต้สามารถรอดพ้นภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค ทั้งนี้ เศรษฐกิจเกาหลีใต้ฟื้นตัวในไตรมาส 2 หลังจากที่หดตัวลงอย่างเหนือความคาดหมายในไตรมาส 1 ซึ่งเป็นการหดตัวครั้งแรกนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2567 โดยมีสาเหตุมาจาก วิกฤตการณ์ทางการเมืองภายในประเทศ อันเนื่องมาจากอดีตประธานาธิบดียุน ซอก ยอล ประกาศกฎอัยการศึก ประกอบกับความไม่แน่นอนที่เกิดจากมาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคและทำให้การส่งออกของเกาหลีใต้ชะลอตัวลง ซึ่งเมื่อเทียบรายปี ตัวเลข GDP ไตรมาส 2 ของเกาหลีใต้ขยายตัว 0.5% ซึ่งดีกว่าในไตรมาส 1 ที่ขยายตัว 0% และแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.4%

อย่างไรก็ตาม BOK ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้กลับมาขยายตัวได้อีกครั้งในไตรมาส 2 นั้น มาจากกการฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภคในภาคเอกชน รวมทั้งการส่งออกที่แข็งแกร่งขึ้น ทั้งนี้ การใช้จ่ายในภาคเอกชนดีดตัวขึ้น 0.5% ในไตรมาส 2 เนื่องจากการใช้จ่ายในหมวดยานยนต์และวัฒนธรรมปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ยอดส่งออกในไตรมาส 2 พุ่งขึ้น 4.2% โดยได้แรงหนุนจากความแข็งแกร่งของอุปสงค์เซมิคอนดักเตอร์และผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมทั่วโลก

 

หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)