ข่าวในประเทศ
นายเอกนัฏ พร้อมพันธ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. "เอกนัฏ" สั่งปิดโรงงานเถื่อนซีโน่ไทย พบใช้ขยะบ่อขยะผลิตเม็ดพลาสติก ส่งขายบริษัทบรรจุภัณฑ์ (ที่มา: สยามรัฐ, ประจำวันที่ 4 สิงหาคม 2568)
นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้นางสาวฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันต์ หัวหน้าคณะทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และหัวหน้าชุดตรวจการณ์สุดซอย หรือ ทีมสุดซอย กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม และตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ลงพื้นที่ตรวจสอบ โรงงานซีโนไทย มารีน โปรตักส์ จำกัด เลขที่ 277/4 ตำบลบางหญ้าแพรก อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ภายหลังได้รับรายงานจากชาวบ้านในพื้นที่ว่าได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการ ทั้งนี้ จากข้อมูลเบื้องต้นทราบว่า โรงงานซีโนไทย มารีนฯ ประกอบกิจการทำเม็ดพลาสติกจากเศษพลาสติกเก่าที่ใช้แล้ว และบดย่อยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้วและเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบตามข้อร้องเรียนพบว่า ขณะเข้าตรวจสอบมีการดำเนินเครื่องจักรในการประกอบกิจการ โดยมีนายเฉิน จุ้นสง สัญชาติจีน ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองไทยกว่า 20 ปี แสดงตัวเป็นเจ้าของสถานที่และเป็นผู้ประกอบกิจการ ซึ่งนายเฉินให้การว่าขยะพลาสติกรับซื้อจากรถขายของเก่าวันละมากกว่า 10 เที่ยว โดยจะนำขยะพลาสติกมาล้างแล้วนำเข้าเครื่องทำเม็ดพลาสติก จากนั้นจะมีรถจากบริษัทผลิตของใช้พลาสติก และบรรจุภัณฑ์ต่างๆ มาซื้อไปเป็นวัตถุดิบ โดยยอมรับว่าดำเนินกิจการไม่ตรงตามที่ได้รับอนุญาต และมีการทำผิดเงื่อนไขในท้ายใบอนุญาต เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวนายเฉิน ส่งที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ดำเนินคดี แจ้งข้อหาประกอบกิจการโรงงานโดยไม่มีใบอนุญาต และตั้งโรงงานโดยไม่มีใบอนุญาตพร้อมยึดอายัดเครื่องจักรทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม นอกจากดำเนินคดีในส่วนของ พรบ.โรงงาน พ.ศ. 2535 แล้ว ยังได้ประสานขอความร่วมมือไปยังอบต.บางหญ้าแพรก เพื่อพิจารณาให้เพิกถอนใบอนุญาตการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สั่งให้โรงงานต้องแก้ไขระบบบำบัดน้ำเสียที่ปล่อยออกนอกโรงงาน และสั่งให้โรงงานระงับการรับขยะจากบ่อขยะเข้ามาภายในโรงงานด้วย ถือเป็นการยกระดับความเข้มข้นการบังคับใช้กฎหมายร่วมกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อดำเนินการกับผู้ประกอบการที่มีเจตนาประกอบกิจการที่ทำลายสิ่งแวดล้อม และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน
น.ส.ณัฏฐิญา เนตยสุภา
อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม)
2. ดีพร้อม หนุนมาตรฐานผลิตภัณฑ์สิ่งทอไทย Thailand Textiles Tag ยกระดับสู่ความยั่งยืน (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 8 สิงหาคม 2568)
น.ส.ณัฏฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม เปิดเผยว่า ปัจจุบันตามนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ เพื่อยกระดับความรู้ ความสามารถ และความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยให้เกิดมูลค่าและรายได้เพิ่มสูงขึ้น พร้อมให้ความสำคัญเรื่องสินค้าที่มีคุณภาพและมีมาตรฐาน จึงจำเป็นต้องช่วยส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถพัฒนา สินค้าที่มีคุณภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับผู้ประกอบการ ซึ่งกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือดีพร้อม (DIPROM) โดยดำเนินงานภายใต้นโยบาย "ดีพร้อมคอมมูนิตี้ ที่นี่มีแต่ให้" ตามนโยบาย 4 ให้ 1 ปฏิรูป ให้ทักษะใหม่ให้เครื่องมือทันสมัยให้โอกาสโตไกลให้ธุรกิจไทยที่ดีคู่ชุมชน และปฏิรูป ดีพร้อมสู่องค์กรที่ทันสมัย โดยการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม แฟชั่นไลฟ์สไตล์ไทย เพิ่มมาตรฐานของสินค้าในทุกๆ ด้าน ทั้งนี้ ดีพร้อม ได้จัดกิจกรรมพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์สิ่งทอเข้าสู่มาตรฐานอุตสาหกรรม (DIPROM Thailand Textiles Tag) ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบัน โดยการ บูรณาการกับสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อเร่งยกระดับผลิตภัณฑ์สิ่งทอไทย ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ อาทิ ผู้ผลิต เส้นด้าย ผ้าผืน เสื้อผ้าสำเร็จรูป เคหะสิ่งทอ และสินค้าไลฟ์สไตล์ ที่มีสิ่งทอเป็นองค์ประกอบ ด้วยการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพและได้มาตรฐาน พร้อมการขอรับรองภายใต้ตราสัญลักษณ์คุณภาพผลิตภัณฑ์สิ่งทอไทย (Thailand Textiles Tag) ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับคุณภาพของเนื้อผ้าความคงทนของสี และความปลอดภัยจากสารเคมีตกค้าง รวมถึงวัตถุดิบที่ใช้และกระบวนการผลิตที่เกิดขึ้นในประเทศไทย (Made in Thailand)
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีผู้ประกอบการสนใจยื่นขอการรับรองเครื่องหมาย Thailand Textiles Tag และพัฒนาผลิตภัณฑ์จนได้การรับรองตามหลักเกณฑ์ รวมทั้งสิ้น 36 กิจการ 57 ผลิตภัณฑ์ โดยผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองในปีนี้ มีหลากหลายประเภท อาทิ ผ้าผืนสำหรับนำไปพิมพ์และตัดเย็บ ผ้าพิมพ์ เสื้อผ้าสำเร็จรูปทั้งบุรุษและสตรี ผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มเศรษฐกิจในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่มห่มได้ไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท โดยใน 6 ปีที่ผ่านมานั้น มีผู้ประกอบการและผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรองเครื่องหมายรวมทั้งสิ้น 187 กิจการ 328 ผลิตภัณฑ์ ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจปีละไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้นไม่น้อยกว่า 180 ล้านบาท
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ
ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)
3. กนอ.ผุดนิคมฯ บางปะกง (ที่มา: ไทยโพสต์, ประจำวันที่ 6 สิงหาคม 2568)
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับบริษัท บางปะกง อินดัสเทรียล เอสเตท จำกัด เดินหน้าพัฒนานิคมอุตสาหกรรมบางปะกง สู่การเป็นโมเดลนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ขับเคลื่อนนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 79 ของ กนอ. โดยจะพัฒนาบนพื้นที่ประมาณ 962-1-78.5 ไร่ ด้วยงบลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกว่า 6,200 ล้านบาท เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โลหะและวัสดุ และอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ตอบโจทย์นโยบายรัฐบาลขับเคลื่อน EEC และการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมไทย
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้พัฒนาในรูปแบบนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ หรือ Eco-Industrial Estate ที่เน้นการบริหารจัดการพลังงาน-สิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รองรับด้วยระบบสาธารณูปโภคครบวงจร พร้อมด้วยโครงข่ายไฟฟ้ากำลังสูงและโทรคมนาคมความเร็วสูง เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของโรงงานภายในนิคมฯ และความสมดุลกับชุมชนโดยรอบ สร้างอาชีพให้ประชาชนในพื้นที่กว่า 2,100 อัตรา และคาดหวังจะดึงเม็ดเงินลงทุนกว่า 25,000 ล้านบาท เพิ่มศักยภาพภาคอุตสาหกรรมและยกระดับ GDP ตามเป้าหมายของกระทรวงอุตสาหกรรม
ข่าวต่างประเทศ
4. ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมเยอรมนีเดือนมิ.ย.ทรุดหนักสวนคาดการณ์ เซ่นพิษภาษีสหรัฐฯ (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 7 สิงหาคม 2568)
สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนี เปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมของประเทศในเดือนมิถุนายน 2568 ได้ร่วงลง 1% เมื่อเทียบรายเดือนแบบปรับค่าตามฤดูกาลและตามปฏิทินแล้ว ซึ่งสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเติบโต 1.0% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 และน่ากังวลยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อพิจารณาว่าตัวเลขของเดือนพฤษภาคม ก็เพิ่งถูกปรับแก้ให้ดีขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะลดลงถึง 1.4% ถูกปรับเป็นลดลงเพียง 0.8% เท่านั้น โดยสาเหตุสำคัญมาจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ซบเซาลงอย่างหนัก โดยเฉพาะจากลูกค้านอกยุโรป ซึ่งเป็นสัญญาณชัดเจนว่าพิษจากกำแพงภาษีของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเยอรมนีแล้ว
อย่างไรก็ตาม ทางด้านวินเซนต์ สตาเมอร์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจาก Commerzbank กล่าวว่า การลดลงของยอดสั่งซื้อจากนอกกลุ่มยูโรโซนนั้นเห็นได้ชัดเจนเป็นพิเศษ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯ เริ่มออกฤทธิ์แล้ว ซึ่งหมายความว่าการฟื้นตัวของยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมยังคงอยู่อีกยาวไกล ทั้งนี้ สถานการณ์มีแนวโน้มจะเลวร้ายลงไปอีก เนื่องจากมาตรการภาษีใหม่ของสหรัฐฯ ที่จะเก็บเพิ่ม 15% ต่อสินค้าจากสหภาพยุโรป กำลังจะมีผลบังคับใช้ในวันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม 2568 นี้ ซึ่งจะทำให้สินค้า "Made in Germany" มีราคาแพงขึ้นในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของเยอรมนี
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)