ข่าวในประเทศ
นายธนกร วังบุญคงชนะ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
1. ดันเอสเอ็มอี 3 หมื่นราย ใช้จ่ายดิจิทัล-เพิ่มลูกค้า (ที่มา: เดลินิวส์, ประจำวันที่ 14 ตุลาคม 2568)
นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ น.ส.ณัฐฐิญา เนตยสุภา อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (ดีพร้อม) เร่งสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยในเครือข่าย มากกว่า 30,000 ราย ให้ใช้จ่ายผ่านระบบดิจิทัล และขยายฐานลูกค้า เช่น นักธุรกิจใหม่ นักธุรกิจ และวิสาหกิจชุมชน ร้านอาหารถิ่น เอสเอ็มอีรายย่อย เพื่อรองรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจคนละครึ่งพลัส วงเงิน 44,000 ล้านบาท ของรัฐบาล ซึ่งมีระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมจะมีการดำเนินการผ่าน 3 ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ คือ 1. เชิญชวนประชาสัมพันธ์ให้นักธุรกิจรายย่อยในเครือข่ายดีพร้อม สมัครและใช้งานแอปพลิเคชัน ถุงเงิน เพื่อรับชำระค่าสินค้าและบริการ กระตุ้นยอดขายและกระแสเงินสด ผ่านกำลังซื้อที่ได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐ 2. กลั่นกรอง โดยคัดเลือกผู้ประกอบการที่มีศักยภาพเข้าสู่ระบบนิเวศดีพร้อม เพื่อนำดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ มาประยุกต์ใช้เน้นการทำตลาดออนไลน์ และการบริหารจัดการร้านค้าผ่านระบบอี-เพย์เมนต์ เพื่อขยายช่องทางการตลาดหลังสิ้นสุดโครงการรัฐ และ 3. สนับสนุน โดยเชื่อมกลไกสนับสนุนต่อเนื่องให้ธุรกิจที่เข้าสู่ระบบดิจิทัล สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคง
อย่างไรก็ตาม กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย ด้วยการเสริมสร้างความรู้ทางการเงิน อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งทุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ และช่วยเหลือผ่านโครงการยกระดับผลิตภาพ เช่น ระบบบริหารจัดการธุรกิจ ระบบบัญชีการเงิน และการใช้เทคโนโลยีเพิ่มขีดความสามารถ
นายพรยศ กลั่นกรอง
อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.)
2. กรอ.คลายล็อกร.ง.4 อุตฯป้องกันปท. (ที่มา: มติชน, ประจำวันที่ 17 ตุลาคม 2568)
นายพรยศ กลั่นกรอง อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ร่วมคณะของนายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ลงพื้นที่ตรวจราชการเพื่อติดตามความคืบหน้าการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ณ บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี โดยมีนายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมลงพื้นที่ ซึ่งการลงพื้นที่ในครั้งนี้นายธนกรได้เข้าเยี่ยมชม บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด ในการติดตามความคืบหน้าการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เป็นหนึ่งในพันธกิจของกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ และภาคอุตสาหกรรม ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ทั้งนี้ บริษัท อาร์ วี คอนเน็กซ์ จำกัด เป็นบริษัทชั้นนำของไทยในการออกแบบ ผลิต และทดสอบอากาศยานไร้คนขับ (UAV) อย่างครบวงจร รวมถึงระบบป้องกันโดรน (Anti-Drone) ถือเป็นบริษัทที่มีความพร้อมทั้งในด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ และบุคลากรที่มีความสามารถ จากนั้นเข้าเยี่ยมชมระบบ และเครื่องมือยุทธภัณฑ์ต่างๆ ภายในบริษัท โดยนายธนกร ได้รับฟังแนวทางพร้อมข้อเสนอแนะต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของผู้บริหารและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกรมโรงงานอุตสาหกรรมจะใช้ภารกิจหลักเพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อน โดยเน้นที่การอำนวยความสะดวก และยกระดับมาตรฐาน ประกอบด้วย 1. อำนวยความสะดวก ด้านกฎหมาย จะเร่งดำเนินการตามขั้นตอนและกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (ร.ง.4) สำหรับโรงงานที่ผลิตยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยี ขั้นสูง เพื่อให้สามารถเริ่มต้นและขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว โดยลดความซ้ำซ้อน และภาระที่ไม่จำเป็น และ 2. มาตรฐานความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม จะทำงานเชิงรุกในการให้คำปรึกษาและกำกับดูแล เพื่อให้โรงงานกลุ่มนี้ โดยเฉพาะส่วนที่มีการผลิตที่ซับซ้อน เช่น การใช้สารเคมีหรือการจัดการของเสียจากการผลิตชิ้นส่วน สามารถปฏิบัติตามกฎหมายด้านความปลอดภัย (Safety) และสิ่งแวดล้อม (Environmental) ที่เข้มงวด ได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว เทียบเท่ามาตรฐาสากล
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์
เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)
3. ยักษ์ใหญ่ไมโครชิพขยายลงทุนไทย (ที่มา: ไทยรัฐ, ประจำวันที่ 15 ตุลาคม 2568)
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยหลังเยี่ยมชมสายการผลิตและพบหารือกับผู้บริหาร บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) จำกัด ว่า ไมโครชิพเป็นบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่รายแรกจากสหรัฐฯ ที่ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2538 และได้ขยายการลงทุนต่อเนื่อง ล่าสุดคณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการของบีโอไอ ได้อนุมัติส่งเสริมการขยายการลงทุนโครงการประกอบและทดสอบชิป (Wafer Testing, IC Packaging and Testing) เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดโลกมูลค่า 2,000 ล้านบาท ทำให้ยอดรวมถึงปัจจุบัน บริษัท ไมโครชิพ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) จำกัด ได้รับการส่งเสริมการลงทุน 12 โครงการ มูลค่าลงทุนรวม 38,000 ล้านบาท ซึ่ง ไมโครชิพ เทคโนโลยี (ไทยแลนด์) เป็นบริษัท ในเครือ Microchip Technology Inc. ผู้นำระดับโลกด้านเซมิคอนดักเตอร์และระบบควบคุมอัจฉริยะ โดยผลิตชิปประเภทไมโครคอนโทรลเลอร์ ชิปอะนาล็อก และการจัดการพลังงานที่เป็นหัวใจสำคัญของอุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ ทั้งยานยนต์อิเล็กทรอนิกส์ อุปกรณ์สื่อสารและโทรคมนาคม ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบอัตโนมัติ และอุตสาหกรรมอวกาศ ขณะเดียวกัน บริษัทมีลูกค้า 100,000 ราย ใน 120 ประเทศ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ และในประเทศไทย ไมโครชิพมีโรงงานประกอบและทดสอบชิป โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง 2 แห่ง ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ปัจจุบันจ้างงานคนไทย 4,500 คน ในจำนวนนี้ เป็นวิศวกรไทย 440 คน ถือเป็นฐานการประกอบและทดสอบชิปที่ใหญ่ที่สุดในเครือ โดย 90% ของผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของไมโครชิพทั่วโลกจะถูกส่งมาทดสอบที่โรงงานในไทยแห่งนี้ก่อนจำหน่ายให้กับลูกค้า
อย่างไรก็ตาม สำหรับกิจการในไทยครอบคลุมตั้งแต่การทดสอบวงจรรวมบนแผ่นซิลิคอนเวเฟอร์การประกอบและทดสอบชิป การเป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก รวมถึงการสนับสนุนด้านวิศวกรรมเทคนิคการผลิต และเทคโนโลยีการตรวจสอบประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์แก่บริษัทในเครือทั่วโลก สำหรับการขยายการลงทุนรอบใหม่นี้ เน้นเพิ่มขีดความสามารถการประกอบและทดสอบชิปขั้นสูง เพื่อรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดโลก นอกจากนี้ ไมโครชิพยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรไทย โดยร่วมมือกับสถาบันการศึกษา 21 แห่ง ทั้งระดับปริญญาตรีและอาชีวศึกษารวมถึงโครงการสหกิจศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรขั้นสูงด้านเซมิคอนดักเตอร์ โดยองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ได้สั่งสมในฐานการผลิตในไทย ทำให้โรงงานในไทยเป็นหนึ่งในศูนย์ความรู้ที่ใช้อบรมและพัฒนาวิศวกรของบริษัทจากต่างประเทศอีกด้วย ทั้งนี้ การที่บริษัทไมโครชิพหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมชิประดับโลกจากสหรัฐอเมริกาได้ลงทุนและพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องในประเทศไทยจนกลายเป็นศูนย์ประกอบและทดสอบผลิตภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในเครือ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในขีดความสามารถของไทยในการเป็นฐานที่มั่นสำคัญสำหรับการเติบโตของบริษัทในระยะยาวการขยายการลงทุนครั้งนี้จะช่วยเสริมความแข็งแกร่งของระบบนิเวศอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ในไทย
ข่าวต่างประเทศ
4. จีนเผยมูลค่าส่งออก-นำเข้า 9 เดือนแรก ขยายตัว 4% (ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์, ประจำวันที่ 14 ตุลาคม 2568)
สำนักงานศุลกากรของจีน (GAC) เปิดเผยว่า การส่งออกและนำเข้าสินค้าของจีน ในรูปสกุลเงินหยวน มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 33.61 ล้านล้านหยวน (4.73 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 ขยายตัว 4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นจากช่วง 8 เดือนแรกของปี ซึ่งมีการขยายตัวอยู่ที่ 3.5% โดยได้รับแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกที่แข็งแกร่ง โดยในช่วงเดือนมกราคม - กันยายน 2568 การส่งออกสินค้าพุ่งขึ้น 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แตะระดับ 19.95 ล้านล้านหยวน ในขณะที่การนำเข้า อยู่ที่ 13.66 ล้านล้านหยวน ลดลงเล็กน้อย 0.2% ขณะที่ในเดือนกันยายน เพียงเดือนเดียว มูลค่ารวมของการส่งออกและนำเข้าเพิ่มขึ้นถึง 8% เมื่อเทียบรายปี อยู่ที่ 4.04 ล้านล้านหยวน ซึ่งนับเป็นอัตราขยายตัวสูงสุดในปีนี้ ทั้งนี้ ในส่วนข้อมูลในรูปสกุลเงินดอลลาร์สำหรับเดือนกันยายน การค้ากับต่างประเทศของจีนขยายตัวดีกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้มาก โดยการส่งออกในรูปสกุลเงินดอลลาร์ ขยายตัว 8.3% ในเดือนกันยายน เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวที่สูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 7.1% และเป็นการฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากที่ยอดส่งออกชะลอตัวลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน เมื่อเดือนสิงหาคม ขณะที่การนำเข้าในเดือนกันยายน พุ่งขึ้น 7.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดไว้เพียง 1.5% และถือเป็นการเติบโตที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2567
อย่างไรก็ตาม ทางด้านหวัง จวิน รองผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรจีน กล่าวว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2568 การค้าต่างประเทศของจีนได้รักษาแนวโน้มการพัฒนาที่มั่นคงและเป็นบวก ท่ามกลางสภาพแวดล้อมภายนอกที่ซับซ้อน นอกจากนี้ การขยายตัวของการค้าสินค้ายังเร่งตัวขึ้นในแต่ละไตรมาส โดยในไตรมาสที่สามของปีนี้เติบโต 6% ซึ่งสูงกว่าอัตรา 1.3% ในไตรมาสแรก และ 4.5% ในไตรมาสที่สอง นอกจากนี้ หวังยังชี้ให้เห็นว่า ตลาดการค้าต่างประเทศของจีนมีความหลากหลายมากขึ้น โดยการค้ากับประเทศคู่ค้าในโครงการ "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง" (Belt and Road) มีมูลค่ารวม 17.37 ล้านล้านหยวนในช่วง 9 เดือนแรก เพิ่มขึ้น 6.2% จากปีก่อน นอกจากนี้ การค้ากับภูมิภาคและกลุ่มเศรษฐกิจสำคัญก็เติบโตเช่นกัน โดยการค้ากับอาเซียนเติบโต 9.6%, แอฟริกาเติบโตสูงถึง 19.5%, เอเชียกลางเติบโต 16.7% ลาตินอเมริกา 3.9% และกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) เพิ่มขึ้น 2%
หมายเหตุ : ค่าเงินบาท อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ราคาทองคำ อ้างอิงจากสมาคมค้าทองคำ ราคาน้ำมันและราคา NGV อ้างอิงจากราคาน้ำมันขายปลีกบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)